เทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ 2023/2566 | ทำธุรกิจอะไรดีปี 2023/2566

รวมธุรกิจที่น่าสนใจปี 2023 และเทรนด์ธุรกิจ 2566 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า แนวโน้มธุรกิจมาแรงปี 2566 การลงทุนที่น่าจับตามองและไม่ควรพลาด โดยเราได้รวบรวมข้อมูลวิจัยการวิเคาระห์ธุรกิจจากสถาบันชั้นนำของเมืองไทย  รวมถึงสินค้ามาแรงปี 2566  และสินค้าน่าสนใจปี 2566

เปิด 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วงปี 2566/2023  เทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ 2023

10 ธุรกิจเด่น แนวโน้มธุรกิจมาแรงปี 2023/2566 ได้แก่

1.ธุรกิจการแพทย์และความงาม
2.ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์
3.โซเชียลมีเดียและออนไลน์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ธุรกิจด้านฟินเทค (Fintech) และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี งานคอนเสิร์ต มหกรรมจัดแสดงสินค้า ธุรกิจอีเวนต์
4.ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจ YouTuber การรีวิวสินค้า และอินโฟเอนเซอร์ ธุรกิจโฆษณา และสื่อออนไลน์
5.ธุรกิจแพลตฟอร์มธุรกิจตัวกลาง หรือตลาดกลางด้านอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจ Matching เช่น แพลตฟอร์ม หาคู่ สั่งอาหาร เรียกรถ อื่น ๆ
6.ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต ธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ผับ บาร์ คาราโอเกะ
7.ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีก สมัยใหม่
8.ธุรกิจโลจิสติกส์ ดีลิเวอรี่ คลังสินค้า ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ เช่น น้ำ เครื่องซักผ้า อาหาร และอื่น ๆ
9.ธุรกิจอีสปอร์ต ธุรกิจอาหารเสริม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
10.ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจความเชื่อความศรัทธา สายมูเตลู หมอดู ฮวงจุ้ย ธุรกิจบันเทิง เช่น ละคร หนังซีรีส์วาย และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา ใบกระท่อม

10 ธุรกิจดาวร่วง แนวโน้มธุรกิจขาลงปี 2023/2566 ได้แก่

1.ธุรกิจฟอกย้อม ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์และวารสาร หนังสือพิมพ์ที่เป็นรูปแบบกระดาษ
2.ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ตามบ้านและสถานที่ทำงาน ธุรกิจโรงพิมพ์ การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ
3.ธุรกิจคนกลาง
4.ร้านขายหนังสือ
5.ธุรกิจเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก
6.ธุรกิจร้านถ่ายรูป ธุรกิจหัตถกรรม
7.ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไร้ฝีมือ หรือเสื้อผ้าโหล
8.ธุรกิจคริปโต
9.โรงเรียนเอกชน
10.ธุรกิจร้านโชห่วย

ข้อมูลจาก : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจหอการค้าไทย

 

 

10 สินค้าขายดีในปี 2023/2566 คลิ๊ก!

 

 

เทรนด์ธุรกิจที่น่าสนใจ 2023

เทรนด์การท่องเที่ยวปี 2023/2566

  • เทรนด์การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนปี 2023/2566
    เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เน้นไม่สร้างผลกระทบทางลบให้แก่สิ่งแวดล้อมหรือส่งผลกระทบให้น้อยที่สุด สนใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นชุมชน สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนเลือกบริการที่ชุมชนเป็นเจ้าของหรือมีการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อช่วยยกระดับวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชุนชมดั้งเดิม
  • เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติปี 2023/2566
    กำลังได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ที่ต้องการชมความสวยงามของธรรมชาติ ได้สัมผัสและเรียนรู้สภาพแวดล้อม ได้เห็นวิถีชีวิตและร่วมทำกิจกรรมกับชุมชนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาความหมายและคุณค่าของชีวิต ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์และความงดงามของ
    ธรรมชาติ

– พฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่นิยมแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และประเพณีในแต่ละท้องถิ่น
– การสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ ที่เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
– เทรนด์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ต้องการเข้าพักในระยะยาว (Long Stay) เพื่อพักฟื้น/ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ และต้องการความสงบ เป็นส่วนตัว และความเป็นธรรมชาติ
– กลุ่มโรงแรมที่จะฟื้นตัวได้ดี ยังคงเป็นกลุ่มที่อยู่ในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะ ภาคตะวันตก เช่น กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย น่าน
– นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีงบประมาณด้านที่พัก 500-1,500 บาท/คน/คืนและใช้เวลาในการท่องเที่ยวเฉลี่ย 3วันต่อทริป
– การพักผ่อนเป็นวัตถุประสงค์หลักในการท่องเที่ยวรองลงมาได้แก่ ทำบุญไหว้พระ และไปสถานที่ท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติ และทะเล

เทรนด์แนวโน้มอุตสาหกรรมเกษตรปี 2023/2566

• อุตสาหกรรมน้ำตาลมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปริมาณผลผลิตน้ำตาลและมูลค่าตลาดน้ำตาลที่มีแนวโน้มเติบโต โดยในปี 2023 คาดว่ามูลค่าการส่งออกน้ำตาลของไทยและมูลค่าตลาดน้ำตาลในประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.2%YOY และ 3.8%YOY ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและนโยบายควบคุมการส่งออกน้ำตาลของอินเดีย

• อุตสาหกรรมมันสำปะหลังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามปริมาณผลผลิตและราคามันสำปะหลังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2023 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.7% แต่อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้านโยบายเกษตรของจีน และการกลับมาระบาดของโรคใบด่าง

• อุตสาหกรรมข้าวมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปริมาณผลผลิตและราคาข้าวที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในปี 2023 คาดว่ามูลค่าการส่งออกข้าวจะขยายตัว 25.8%YOY แต่อย่างไรก็ดียังต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายส่งออกข้าวของอินเดียและต้นทุนการผลิตข้าวของไทยที่สูงกว่าคู่แข่ง

• อุตสาหกรรมยางพารามีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาและมูลค่าการส่งออกยางพาราที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ประกอบกับผลผลิตยางพารามีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ โดย EIC คาดว่า ในปี 2023 มูลค่าการส่งออกยางพาราจะปรับตัวลดลง 7.5%YOY อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก และการแพร่ระบาดของโรคใบร่วงยางพาราชนิดใหม่

• อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มหดตัว ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบและอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ประกอบกับผลผลิตปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ โดย EIC คาดว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบในปี 2023 จะปรับตัวลดลง 25.8%YOY อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกและนโยบายการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของอินโดนีเซีย

เทรนด์ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2023/2566

การขยายตัวของธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในปี 2023 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในทุกพื้นที่ โดยความต้องการพื้นที่ค้าปลีกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้มากขึ้น จากการออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านที่เริ่มเป็นปกติมากขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย ประกอบกับการขยายตัวตามอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะพื้นที่ Suburb ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่าพื้นที่อื่น ๆ ขณะที่ Midtown และ Downtown มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก ยังคงเป็นปัจจัยกดดัน

• ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในพื้นที่ Downtown ปี 2023 : มีแนวโน้มกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น จากทำเลใจกลางเมืองที่ยังสามารถดึงดูด Traffic ได้ดี ทั้งจากชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นเดียวกับอัตราค่าเช่าในพื้นที่ที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี หลังลดลงต่อเนื่องจาก COVID-19 และมาตรการลดค่าเช่าในช่วงที่ผ่านมา

• ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในพื้นที่ Midtown ปี 2023 : มีแนวโน้มขยายตัวได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกับในพื้นที่ Downtown ตามการขยายตัวของอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ด้วย Traffic อาจยังไม่เท่าของพื้นที่ Downtown ทำให้อัตราการปล่อยเช่าในพื้นที่อาจชะลอตัวลง และต่ำกว่าอัตราการปล่อยเช่าของ Downtown เล็กน้อย

• ตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในพื้นที่ Suburb ปี 2023 : ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นที่เดียวที่ยังขยายตัวได้แม้ในช่วงที่ COVID-19 แพร่ระบาดรุนแรง อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากอาจทำให้อัตราการเช่าลดลงเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ด้วยทำเลที่ตอบโจทย์การขยายตัวของเมืองส่งผลให้ตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตและคาดว่าจะกลับไปอยู่ระดับเดิมได้ในระยะต่อไป

เทรนด์ธุรกิจขายปลีกสัตว์เลี้ยงในปี 2023/2566

กลุ่มธุรกิจขายปลีกสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังคนเลี้ยงสัตว์เหมือนคนในครอบครัวและเลี้ยงเสมือนลูก ทำให้เลือกสิ่งดี มีคุณภาพให้สัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ทั้งอาหาร ของใช้ บริการ ส่งผลให้มีการจดตั้งบริษัทใหม่เพิ่มขึ้นถึง 480 ราย ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก อยู่ในกรุงเทพฯ มากสุด ที่เหลือกระจายไปยังภาคต่าง ๆ พบต่างชาติเข้ามาลงทุนไม่มาก

ปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจขายปลีกสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากจำนวนครอบครัวเดี่ยวและคนโสดเพิ่มมากขึ้น คู่สมรสมีบุตรน้อยลงและคนไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่บ้านจึงมองหาสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปมีการทำงานที่บ้าน (WFH) มากขึ้น ทำให้มีเวลาใส่ใจดูแลบ้านและสัตว์เลี้ยง และสามารถหาข้อมูลความรู้ หาผลิตภัณฑ์ บริการใหม่ ๆ เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และซื้อหาผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกมากขึ้น

ธุรกิจที่น่าสนใจบริการทางการแพทย์ที่บ้าน ปี 2023/2566

กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีความจำเป็นและกลุ่มที่ต้องการบริการทางเลือก เนื่องจากไม่สามารถไปรับบริการที่สถานพยาบาลได้ บริการทางการแพทย์ที่น่าสนใจและน่าจะขยายตลาดได้จะเป็นกลุ่มบริการหัตถการและบำบัดรักษา โดยเฉพาะบริการหัตถการเพื่อป้องกันโรคอย่างการฉีดวัคซีน กายภาพบำบัด คลายกล้ามเนื้อรักษาอาการเฉพาะ รวมถึงกลุ่มบริการผู้ดูแลช่วยเหลือ ซึ่งจะตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องได้รับการดูแลในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับบริการช่วยเหลืออื่นๆ อย่างบริการรถรับ-ส่งผู้ป่วย ผู้สูงอายุที่ปลอดภัย พร้อมกับผู้ดูแลที่ผ่านการอบรมในการดูแลผู้ป่วยอย่างถูกต้อง ให้เช่าอุปกรณ์ทางการแพทย์เบื้องต้นสำหรับใช้งานที่บ้าน

การขยายตลาดบริการทางการแพทย์ที่บ้านก็ยังมีความท้าทายด้านจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองและการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งหากมีแผนเตรียมความพร้อมเพื่อตอบโจทย์บริการสุขภาพในระยะยาว ก็คาดว่าตลาดบริการทางการแพทย์ที่บ้านก็น่าจะขยายตัวได้มากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการบริการสุขภาพที่จะเพิ่มมากขึ้น

รวบรวมข้อมูลจาก : EICSCB/GSB

 

 

10 สินค้าขายดีในปี 2023/2566 คลิ๊ก!

 

 

12 เทรนด์อีคอมเมิร์ซไทยในปี 2566/2023

โดยคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ภาพรวม e-Commerce ประเทศไทยตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าสู่การขายของออนไลน์เต็มรูปแบบ เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมา โควิดทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเดิมที่ไทยน่าจะเข้าสู่ออนไลน์ได้ช้า แต่โควิดเป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าสู่ออนไลน์ของไทยเป็นไปได้กับคนทุกระดับ

ในปี 2566 เเนวโน้มของ e-Commerce ไทยมีความเปลี่ยนเเปลงทั้งในด้านเเพลตฟอร์มการให้บริการ เทคโนโลยี เเละโอกาสใหม่ๆ ที่คนที่ทำธุรกิจต้องเตรียมพร้อมสำหรับเเผนกลยุทธ์ดิจิทัล โดยกล่าวสรุปเป็น 12 เทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย ในปี 2566 ดังนี้

เทรนด์ที่ 1 มูลค่าการค้าออนไลน์ขยับขึ้นอีกครั้งตอบรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

มูลค่าการค้าออนไลน์ กำลังดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว รวมถึงระบบนิเวศทั้งหลาย จากรายงานมูลค่าe-Commerceในช่วงปี 2563 โดย ETDA ตัวเลขจะลดลงประมาณ 6.68% สาเหตุหลักเกิดจากตัวเลขของe-Commerceประเทศไทยมาจากการท่องเที่ยว การเดินทาง สายการบิน และการผลิตต่าง ๆ เมื่อมีสถานการ์ณเเพร่ระบาดของโควิดเข้ามาจึงส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมe-Commerceไทยมูลค่าลดลง ฉะนั้นการที่ไทยเริ่มเปิดประเทศก็ทำให้ตัวเลขe-Commerceเริ่มฟื้นตัวกลับมา คาดการณ์ว่าในปี 2566 มูลค่า e-Commerce ของไทยน่าจะกลับเป็นบวกแบบเต็มที่ ประกอบกับโมเมนตัมของธุรกิจเข้าสู่ออนไลน์เต็มรูปเเบบเเล้วในช่วงหลังโควิด จึงส่งผลทำให้ตัวเลขe-Commerceไทยโตขึ้นแบบก้าวกระโดด

เมื่อพิจารณาข้อมูลของบริการe-Commerce จะมีมุมมองได้หลากหลายมิติ ทั้ง Food Delivery, Online Grocery, Travel, On Demand Content นี่คือองค์ประกอบของบริการที่ผู้บริโภคนิยมจ่ายเงินให้กับบริการe-Commerce ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าที่จับต้องได้ แต่เป็นเรื่องบริการ (Service) ด้วย

เทรนด์ที่ 2 สงคราม e-marketplace กำลังจะจบลง

ทำไมจึงต้้งข้อสังเกตได้ว่า สงคราม e-marketplace กำลังจะจบลง เพราะ e-marketplace ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee กำลังเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนโหมดตัวเอง จากเน้น Growth โดยการใช้เงินลงทุนทำให้ตัวเองเติบโต ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองสู่ธุรกิจเพื่อทำกำไรอย่างชัดเจน เช่น Lazada ในปี 64-65 สามารถทำกำไรได้แล้วเเละมีการใช้เงินในการทำการตลาดน้อยลง แล้วเริ่มโฟกัสที่การสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น เห็นได้ชัดจากที่เริ่มมีการเก็บเงินจากลูกค้าเเละร้านค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มค่าบริการมากขึ้น
หากมองภาพรวมธุรกิจ Lazada คงไม่อาจมองแค่บริการ e-marketplace อย่างเดียว เเต่ต้องมองในฝั่ง Lazada Pay เพื่อการชำระเงิน, Lazada Express หรือบริการด้านดิจิทัลอื่นๆ จะพบว่ารายได้ทั้งหมดของกลุ่ม Lazada ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 38,000 กว่าล้านบาท มีกำไรประมาณ 3,200 กว่าล้านบาท ซึ่งธุรกิจที่ทำกำไรหลักๆ คือ Lazada Express หรือบริการขนส่งนั่นเอง

ในด้านของ Shopee ตัวเลขยังมีการขาดทุนอยู่ เฉพาะในปี 2564 Shopee ขาดทุนประมาณ 4,900 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นขาดทุนสะสมติดต่อกันมา 7 ปี แต่เมื่อดูภาพรวมธุรกิจหลักของ Shopee จะมีธุรกิจ Shopee Express ซึ่งจากเดิมในปี 2563 มีการขาดทุนประมาณ 1,800 กว่าล้านบาท ตัวเลขการขาดทุนลดลงมาเหลือ 280 กว่าล้านบาท เมื่อมองภาพรวมธุรกิจของ Shopee การขาดทุนยังสูงอยู่ แต่รายได้ของทั้งกลุ่มมีมูลค่าเกือบ 43,000 ล้านบาทเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าปีที่แล้ว Shopee มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจ (Growth) มากกว่าการทำกำไร แต่เมื่อเราดูข้อมูล Shopee ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีการปรับโครงสร้างเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ค่อนข้างถดถอย อัตราเงินเฟ้อ และสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ Shopee มีปัญหาเรื่องการระดมเงินจากนักลงทุน Shopee จึงเริ่มเน้นกลยุทธ์การทำกำไรมากขึ้น เริ่มจากการลดคน ปิดบริการในแต่ละประเทศที่ไม่ทำกำไรหรือเพิ่งดำเนินการ เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน จึงกลับมาโฟกัสที่การทำกำไรแทน

นอกจากนั้น Shopee ก็ดำเนินนโยบายเชิงรุกต่อเนื่อง โดยผู้บริการจะไม่มีการรับเงินเดือนจนกว่าสถานการณ์การเงินจะดีขึ้น ซึ่งนี่คือทิศทางที่ชัดเจนว่า Shopee กำลังจะเริ่มทำกำไรแล้ว เเละสิ่งที่เห็นได้ชัดอีกประเด็น คือ งบประมาณในการทำการตลาดของ Shopee ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วง 11.11 ที่ผ่านมา

ส่วน JD Central ยังคงเป็นอันดับ 3 มีงบกำไรขาดทุนอยู่ที่ประมาณ 1,200 กว่าล้านบาท แต่ก็เริ่มมีข่าวไม่เป็นทางการว่ากลุ่มเซ็นทรัลได้มีการถอนตัวออกจาก JD.com และในฟากของ JD ในประเทศไทยก็จะมีการถอนตัวจากตลาดประเทศไทยและอินโดนีเซีย เพราะมีการขาดทุนสูงถึงประมาณห้าหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

สิ่งที่เริ่มสะท้อนอย่างเห็นได้ชัดคือช่วงมหกรรม 11.11 ที่ผ่านมาสถานการณ์ค่อนข้างซบเซา บรรดา e-marketplace ใช้เงินน้อยลง ร้านค้าขายของได้น้อยลงกว่าเดิมมาก เป็นสัญญาณให้เห็นว่าฝั่งของ e-marketplace ที่เคยเป็นสงครามของการใช้เงินมาถล่มกันก็เริ่มลดน้อยลงอย่างชัดเจนแล้ว และที่สำคัญ e-marketplace ไทย กลายเป็นสมรภูมิการเเข่งขันของต่างชาติเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เรายังมี e-marketplace ของไทยอยู่บ้าง เช่น ShopAt24 ในเครือ CP All ที่ยังืทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในปี 64 มีมูลค่า 11,000 กว่าล้านบาท และมีกำไรอยู่ประมาณ 400 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว

เทรนด์ที่ 3 สินค้าจีนบุกไทยเต็มสูบ

ผลต่อเนื่องจากเทรนด์ของ e-marketplace รายใหญ่ สินค้าจีนกำลังบุกไทยเต็มสูบหรือเต็มรูปแบบ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยมีผู้ให้บริการนำสินค้าจากจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ด้วย Infrastructure ของจีนเริ่มเชื่อมต่อเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทางรถ ทางราง ทางน้ำ เอื้อต่อผู้ให้บริการสามารถส่งสินค้าจากจีนเข้ามาไทยได้ในไม่กี่วัน บางรายใช้เวลาเพียง 2-5 วันก็ได้รับสินค้าเเล้ว บางรายมีบริการ Warehouse ให้ด้วย ซึ่งในตอนนี้ผู้ผลิตผู้นำเข้าสินค้าจีนต่างยกขบวนมาตั้ง warehouse ในประเทศไทย ในพื้นที่รอบ ๆ กรุงเทพ และเริ่มใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางที่จะขายสินค้าตรง จากสินค้าใน Warehouse ในไทยตรงสู่ผู้บริโภค ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสินค้ามีราคาถูกลงมาก และเราจะได้เห็นกองทัพสินค้าจากจีนถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องมากขึ้น

ดังนั้น สินค้าจีนที่เข้ามาก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย มีการเสียภาษี ผ่านขั้นตอนชัดเจน แต่ก็มีบางส่วนที่ยังผิดกฎหมาย นำเข้ามาค้าขายในโลกออนไลน์ โดยไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบหรือขออนุญาตตามมาตรฐานของไทย เช่น หลอดไฟฟ้า LED ต่าง ๆ จากจีนที่ไม่มี มอก. อุปกรณ์การพนันต่าง ๆ ที่หาซื้อได้ใน e-marketplace หรือเครื่องสำอางที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่มี อย. สินค้าเหล่านี้ส่งตรงเข้ามาจากจีน เเละจากที่ไม่ผ่านมาตรการต่าง ๆ ก็ทำให้มีต้นทุนถูกลง ทำให้สามารถนำสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมากๆ ได้ โดยบางครั้งมีขั้นตอนพิเศษที่ทำให้ไม่เสียภาษีอีกด้วย

แต่ในขณะที่ผู้ประกอบการไทย ต้องมีมาตรฐานการผลิตของโรงงาน การควบคุมคุณภาพให้ผ่านมาตรฐาน มอก.หรือ สคบ. มีการจ้างคนเเละขั้นตอนการผลิตต่างๆ ทำให้มีต้นทุนที่สูงกว่า เเละกลายเป็นความเสียเปรียบของคนไทย ซึ่งภาครัฐควรต้องควบคุมให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจีนเข้าไทยอย่างผิดกฏหมาย

เทรนด์ที่ 4 On-Demand Commerce สงครามการค้าออนไลน์รูปแบบใหม่กำลังก่อตัวขึ้น !

On demand commerce การแข่งขันการค้าลักษณะ Platform จัดส่งอาหาร หรือ Food Delivery จะต้องเริ่มเปลี่ยนตัวเองให้เป็นบริการที่มากกว่าอาหาร หรือที่เรียกว่า Beyond Food ปัจจุบันผู้ให้บริการหลายรายมีการแข่งขันมากขึ้นในช่วงปีที่่ผ่านมา จากธุรกิจจัดส่งอาหาร หรือการเรียกรถ ก็จะมีบริการอื่นเช่น Grab Mart, Grab Home เห็นได้ว่ามีการขยายฐานบริการ e-Commerce ซึ่งในปีหน้าเราคงได้เห็นกันมาก โดยเฉพาะ Grab

ในฝั่ง Lineman มีการควบรวมกิจการบริษัท กับ Wongnai กลายเป็น Lineman x Wongnai ล่าสุดระดมทุนได้ถึง 9,700 ล้านบาท มีการขยายบริการทั่วประเทศมากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์ในการทำสงครามครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียว

อีกรายคือ Food Panda ซึ่งอยู่ในตลาดมานานเกือบสิบปี ปัจจุบันให้บริการครบทั้ง 77 จังหวัดของประเทศไทย และเริ่มมีบริการอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน แต่หากวิเคราะห์สถานการณ์ของ Food Panda ยังมีความน่ากังวลแม้จะเปิดบริการก่อนเป็นรายแรกๆ ก็ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง ในส่วนของผู้ถือหุ้น ติดลบราว 9,800 ล้านบาท ดังนั้น จึงน่าวิตกสำหรับ Food Panda ว่าสถานการณ์เเละตัวเลขแบบนี้จะระดมเงินทุนอย่างไร

และสุดท้าย Robinhood จากค่าย SCB ตั้งเเต่เริ่มเปิดให้บริการไม่มีการเก็บค่า GP ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และมีบริการบางอย่างที่ดีกว่ารายอื่น ทำให้ร้านค้าหลายร้านหันมาขายผ่าน Robinhood เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน Robinhood ก็เริ่มมีการขยายธุรกิจ จากบริการจัดส่งอาหาร ก็เพิ่มบริการจองโรงแรม บริการซื้อของ และบริการใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาเร็วๆ นี้ โดยมี โมเดลการทำกำไรจากการขายโฆษณาและบริการอื่นๆ

เทรนด์ที่ 5 การบุกของ DFS (Digital Financial Service)

DFS หรือ Digital Financial Services คือ บริการการเงินทางออนไลน์ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ให้บริการเหล่านี้จะไม่ใช่ธนาคาร หรือที่เรียกว่า Non bank เช่น บริการรับชำระเงิน, บริการกู้เงินทางออนไลน์, บริการประกันออนไลน์,บริการดูแลความมั่งคั่ง ดูแลสินทรัพย์ออนไลน์ หรือ การโอนเงินออนไลน์ โอนเงินต่างประเทศ เเละแนวโน้มการใช้บริการ Digital Financing เหล่านี้เริ่มมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้ e-Commerce ของประเทศไทยเติบโตมากขึ้น

อีกทั้งจะเห็นได้ว่า ผู้ให้บริการหลายราย อย่าง Grab, Shopee, Food Panda หรือ Lazada เริ่มมีการให้บริการทางการเงินให้กับคู่ค้าของตัวเองมากขึ้นเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่การให้บริการ B2B Payment อย่าง PaySoon ก็เป็นอีกหนึ่งบริการที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้กับเจ้าของธุรกิจ โดยการดึงวงเงินจากบัตรเครดิตมาเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจได้ดีมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นในการเก็บเงินหรือการจ่ายเงิน

เทรนด์ที่ 6 สงคราม Short Video Commerce

ปัจจุบัน สงครามของ Short Video Commerce กำลังดุเดือดมาก ไม่ว่าจะเป็น Tiktok, Youtube, Facebook เเละ Instagram ที่กระโดดลงมาเเข่งขัน หรือแม้แต่ผู้ให้บริการอย่าง Line ก็ลงมาเเข่งในสนาม Video เช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์จะไม่ได้ทำมาเพื่อให้บริการเฉพาะ Short video เพียงอย่างเดียว แต่มีบริการอื่นของ e-Commerce เช่นการเปิดร้านค้าเข้ามาเสริมด้วยเช่นเดียวกัน

เทรนด์ที่ 7 โฆษณาออนไลน์ที่มีทางเลือกมากขึ้น

ในหลายปีที่ผ่านมา โฆษณาออนไลน์ที่เป็นทางเลือกอันดับต้นๆ คือ Facebook ซึ่งปัจจุบันผู้โฆษณาหันไปทางเลือกอื่นเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่การโฆษณาผ่าน Facebook ประสบปัญหาของการได้ผลลัพธ์ที่น้อยลง ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Tiktok พัฒนารูปแบบการโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แนวโน้มที่เกิดขึ้น คือ แบรนด์เเละผู้โฆษณาจึงเริ่มเปลี่ยนไปโฆษณาผ่าน Tiktok เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อเสริมให้ลูกค้าขายของได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

เทรนด์ที่ 8 การตลาดผ่านการบอกต่อ

Affiliate Marketing หรือ การตลาดผ่านการบอกต่อ กำลังเป็นเทรนด์ที่มีการเติบโต เพราะคนเริ่มเป็น Influencer คนเริ่มมีฐานลูกค้าตัวเองมากขึ้น Social Media เป็นเครื่องมือที่ทำให้เรามีความสามารถบอกต่อสินค้าไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ของเรา และเราเองสามารถได้ส่วนเเบ่งกำไรจากการที่สินค้าเหล่านั้นมีการขายได้เมื่อเพื่อน ๆทำการสั่งซื้อ โดยแพลตฟอร์มอย่าง Tiktok เริ่มมีการผลักดันบริการ Affliate Marketing ที่ใช้การบอกต่อมากขึ้น รวมถึง Shopee และ Lazada เอง ก็เริ่มมีบริการเช่นเดียวกัน ในขณะที่ในประเทศไทยก็มีผู้ให้บริการชื่อ pundai.com ที่เป็น Affliate Marketing ของไทยเอง

เทรนด์ที่ 9 “MarErce” เมื่อ มาร์เทค (MarTech) ผสานเข้ากับ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce)

มาร์เอิร์ซ (Mar-Erce) คือ รูปเเบบการทำธุรกิจดิจิทัลที่อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ผสานเข้ากับมาร์เทค (MarTech) เราจะเรียกว่า “มาร์เอิร์ซ” จากเมื่อก่อนคนทำการตลาด (Marketing) จะเน้นเรื่องการตลาด และ คนค้าขายออนไลน์ (e-Commerce) ก็เน้นเรื่องการขาย แต่ปัจจุบันจะไม่ใช่วิธีการเเบบเดิมอีกต่อไป ปัจจุบันนี้ Marketing กับ e-Commerce ถูกผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ทำให้ตอนนี้ผู้ให้บริการด้านมาร์เทค (MarTech) ก็จะเริ่มมีแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่การทำการตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยทำให้เกิดออเดอร์ เกิดการซื้อขาย เเละเมื่อเกิดการขายแล้ว ทางฝั่งมาร์เทค (MarTech) จะเริ่มนำเทคโนโลยีย้อนกลับไปทำ CRM หรือ Retention เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำต่อไปอีกที ดังนั้น “มาร์เอิร์ซ (MarErce)” จะเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจที่การตลาด (Marketing) กับ การค้าขายออนไลน์ (e-Commerce) จะถูกผสานรวมเข้าด้วยกัน

เทรนด์ที่ 10 การแข่งขัน e-Commerce ในแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่

แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จะเริ่มแข่งขัน e-Commerce อย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, Tiktok ทุกคนเริ่มมีแพลตฟอร์มที่รองรับเเละส่งเสริม e-Commerce มากขึ้น ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้ากระโดดข้ามไปใช้บริการของคู่แข่ง เช่น Facebook มี Facebook Shop, Facebook Live, Facebook Marketplace, Facebook Messenger, Line มี Line Chat, Line OA, Line Shop, Line Pay ฝั่ง Tiktok มี Tiktok Video, Tiktok Ads, Tiktok Shop ซึ่งตรงนี้เองจะทำให้เกิด e-Commerce ในแพลตฟอร์มใหญ่เพิ่มมากขึ้น

เทรนด์ที่ 11 การขาดดุลดิจิทัลของประเทศไทย

กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศเมื่อ 1 ก.ย. 64 เเละจากข้อมูลล่าสุด มีผู้ให้บริการต่างชาติที่ขึ้นทะเบียนเเล้วจำนวน 127 ราย ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บสะสม 6 เดือน (ต.ค.64 – มี.ค.65) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,200 กว่าล้านบาท โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจจะเก็บได้ถึงเกือบหมื่นล้านเมื่อครบปี นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มูลค่าการซื้อ-ขายบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของคนไทยอาจจะขึ้นไปสูงถึงเกือบ ๆ สองแสนล้านบาท ซึ่งสองแสนล้านบาทน่าจะเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการส่งออกข้าวในปี 2564 รวมถึงสูงกว่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปในปี 2564 เช่นกัน จึงถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ภาครัฐควรต้องเริ่มเข้ามาดูแลสอดส่องว่าประเทศไทยเรามีการขาดดุลทางการค้าดิจิทัลอย่างไร และควรนำตัวเลขนี้ไปคำนวณ วิเคราะห์เรื่องของการขาดดุลของระบบประเทศไทยด้วยเช่นกัน

เทรนด์ที่ 12 D2C (Direct to Consumer) จะฆ่าตัวกลางทางการค้า

ย้ำอีกครั้งว่าในช่วงปีที่แล้วและปีนี้ Direct to Customer หรือการขายตรงไปยังผู้บริโภค การตัดตัวกลางออกไปจากห่วงโซ่ เป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับโรงงานผู้ผลิตต่าง ๆ หลายปีที่ผ่านมา โรงงานเริ่มขายของออนไลน์มากขึ้น ขายตรงไปยังผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบให้ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นเริ่มถดถอย เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มซื้อสินค้าจากร้านในท้องถิ่นน้อยลงและหันมาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ในแง่ของธุรกิจท้องถิ่นจะมีผู้ที่เป็นตัวกลาง หมดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเพราะพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป

 

10 สินค้าขายดีในปี 2023/2566 คลิ๊ก!

 

 

แสดงความคิดเห็น