เปิดร้านขายซูชิ เป็นช่องทางในการเริ่มต้นอาชีพที่ได้รับความนิยม เนื่องจากในระยะหลังมานี้มีราคาที่ถูกและมีหลากหลายหน้าให้เลือกรับประทาน เข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกวัย รับประทานได้ทุกมื้อของวัน นั่นหมายความว่าสามารถเปิดขายได้ตลอดทั้งวันเช่นกันนั่นเอง และหากผู้ประกอบการหรือผู้เริ่มต้นธุรกิจท่านใดกำลังอยากเปิดร้านซูชิบาร์หรือเปิดร้านซูชิเล็กๆ ร้านขายซูชิตลาดนัด เรามีข้อมูลเบื้องต้นมานำเสนอดังต่อไปนี้
กำหนดรูปแบบ
- ทำซูชิขายเอง หากคุณอยากจะทำขายด้วยตัวเอง เริ่มต้นจากการไปเรียนทำซูชิซึ่งจะมีโรงเรียนสอนหรือมีสถาบันหรือคนที่มาเปิดสอนเองแบบตัวต่อตัวหรือสอนออนไลน์ ราคาค่าเล่าเรียนจะอยู่ที่เริ่มต้น 2,000 บาทขึ้นไป ส่วนใครที่ไม่อยากเสียเงินไปเรียนก็สามารถเรียนได้ด้วยตัวเองที่บ้านจากคลิปวีดีโอสอนทำซูชิที่มีอยู่อย่างมากมายในสื่อดิจิตอล ทั้ง YouTube, Facebook เป็นต้น
- เป็นตัวแทนจำหน่าย รับมาขายหรือซิ้อแฟรนไชส์ซูชิ ข้อดีของรูปแบบนี้คือผู้ประกอบการแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองให้ยุ่งยาก มีทั้งอุปกรณ์และวัตถุดิบให้ครบ บางแฟรนไชส์ทำเสร็จพร้อมขายได้เลย
กำหนดกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายหลักสำหรับซูชิจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นและหนุ่มสาววัยทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ จะชื่นชอบนิยมรับประทาน เนื่องจากมีขนาดที่พอดีคำรับประทานง่าย อิ่มท้อง รสชาติถูกปาก มีความแปลกใหม่ มีหลายแบบให้ลองรับประทาน (กลุ่มเป้าหมายมีผลต่อคุณภาพวัตถุดิบและราคาขาย)
กำหนดทำเล
ทำเลขาย คือ “จุดยุทธศาสตร์” ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญต่อการเลือกสถานที่เปิดร้าน โดยเน้นเปิดขายตามจุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน ย่านชมชน เช่น เปิดร้านขายซูชิในตลาดนัด ขายตามใต้หอพักหรืออพาร์ทเม้นต์ เป็นต้น สำหรับในยุคนี้หากทำเลไม่โดดเด่น สามารถประยุกต์เป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการเดลิเวอรี่ต่างๆ เช่น Line Man, Grab food, Get , FoodPanda เป็นต้น ก็สามารถเพิ่มยอดขาดและลดความสำคัญของทำเลลงได้
เปิดร้านขายซูชิ ลงทุนเท่าไหร่ ?
- เปิดร้านขายเอง : ลงทุนเริ่มต้น 4,000 บาท (ไม่รวมค่าเช่าพื้นที่ประมาณวันละ 300 – 500 บาท)
- ซื้อแฟรนไชส์หรือรับมาขาย : ลงทุนเริ่มต้น 2,900 บาท
อุปกรณ์ขายซูชิ มีอะไรบ้าง ?
- ถาดใส่ซูชิ/กล่องใส่ซูชิ/ถาดอะครีลิคสีดำแดง ราคา 200 – 450 บาท
- ถังไม้เก็บข้าวซูชิแบบญี่ปุ่น ราคา 1,500 – 2,000 บาท
- เสื่อม้วนญี่ปุ่นสำหรับทำซูชิ ราคา 30 – 70 บาท
- ถาดญี่ปุ่น ถ้วยญี่ปุ่น ขนาดเล็ก ราคา 50 – 80 บาท
- หญ้าเทียม ราคา 80 บาท/แผ่น
- เขียงไม้ขนาดเล็ก ราคา 100 – 200 บาท
- ตะเกียบไม้ ราคา 100 บาท (ถุงละ 100 คู่)
- โชยุ ราคา 50 บาท (6 กรัม แพ็ค 100 ซอง)
- วาซาบิ ราคา 100 บาท (แพค 100 ซอง)
- โต๊ะขนาดกลาง ราคา 350 – 500 บาท
ราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคากลางตลาดทั่วไป สำหรับการสั่งทำเฉพาะหรือนำเข้ามาราคาก็จะแตกต่างกันไปตามคุณภาพของวัสดุที่นำมาทำ
วัตถุดิบเบื้องต้นสำหรับทำซูชิ
- ข้าวญี่ปุ่นสำหรับทำซูชิ ข้าวปั้น ราคา 150 – 250 บาท (ขึ้นอยู่กับเกรดข้าว)
- ไข่กุ้ง, ไข่มังกร ราคา 250 บาท/ถุง (500 กรัม)
- ยำสาหร่าย ราคา 50 – 80 บาท/ถุง (500 กรัม)
- ปูอัด, ปูอัดแฟนซี ราคา 50 – 100 บาท
- ไข่หวาน, สโมคกี้, ชีสแผ่น ราคา 50 – 80 บาท
- สลัดปรุงรส ทาโกะจังน้ำสลัด สลัดกุ้งล็อบสเตอร์ สลัดปูอัด สลัดเป๋าฮื้อ ราคา 120 – 250 บาท
- ทาโกะ, หอย, แมงกระพรุน, กุ้ง, ปลา, ราคา 100 – 150 บาท
- แซลมอน ราคา 300 – 500 บาท (ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของปลาแซลมอน)
- โนรีสาหร่ายแผ่นห่อข้าว ราคา 200 – 300 บาท (แพค 100 แผ่น)
การตั้งราคาขาย
ซูชิจะขายกันในราคาตั้งแต่ ซูชิ 5 บาท, ซูชิ 10 บาท, ซูชิ 20 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและหน้าของซูชิ รวมไปถึงต้นทุนวัตถุดิบแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วผู้ประกอบการควรตั้งราคาให้สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับความเป็นไปได้
แหล่งขายส่งวัตถุดิบเปิดร้านซูชิ
- ร้านขายส่งแม็คโคร
- ร้านขายส่งวัตถุดิบซูชิออนไลน์
เทคนิคเพิ่มเติม
- แสงสว่างที่เพียงพอ : ใช้ไฟส่องไปยังซูชิ เพื่อทำให้ซูชินั้นเด่นขึ้นมาเมื่อสะท้อนกับแสงไฟ ยิ่งในเวลากลางคืนจะยิ่งทำให้ซูชิดูน่ากินมากขึ้น
- ใช้ผ้าปูโต๊ะหรือของตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น : เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมในการอยากรับประทานอาหารญี่ปุ่น
- จัดวางซูชิให้เต็ม : ถาดไหนหรือซูชิหน้าไหนที่ขายหมดแล้วให้รีบนำออกทันที หากในถาดยังขายไม่หมดให้จัดวางซูชิในถาดให้เรียบร้อย สวยงาม
- หน้าซูชิไม่เละ : บางครั้งลูกค้าอาจหยิบพลาดหรือไปโดนซูชิชิ้นอื่นทำให้หน้าซูชิเละ ไม่สวยงาม ดังนั้นต้องรีบแก้ไขให้ดูดีพร้อมขาย
- ทำสดใหม่ : ซูชิโดยเฉพาะหน้าปลาดิบต้องทานตอนทำเสร็จใหม่ๆจึงจะอร่อย ดังนั้นไม่ควรทำทิ้งไว้คราวละมากๆ เพราะทำให้เสียรสชาติ
- จัดโปรโมชั่น : จัดโปรโมชั่นบ้างเพื่อกระตุ้นการขาย อาจจะซื้อ 10 ชิ้น แถม 1 ชื้น หรือในช่วงเวลาที่ใกล้ปิดร้านก็จัดเซ็ทขายและลดราคาลง 50 เปอร์เซ็นต์ ได้กำไรน้อยกว่าแต่ก็ดีกว่าของเหลือต้องทิ้งไปเปล่าๆ
- เพิ่มช่องทางจำหน่าย : รับออเดอร์ล่วงหน้าจากลูกค้า โดยให้ติดต่อผ่านทางช่องทางออนไลน์เพิ่มเติมทั้งใน Facebook และ Line เป็นต้น และยังสามารถใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ร้านแจ้งเมนูได้อีกด้วย