ขายขนมทานเล่น สแน็คซีฟู้ดส์ “ชาวเล” พลิกของฝากสู่ขนมขบเคี้ยวยอดขายกว่า 10 ล้าน
เมนูของว่างทำเงินที่จะนำมาฝากท่านทั้งหลายกันในวันนี้ เป็นเมนูที่ต่อยอดมาจากอาหารทะเล สัตว์ทั้งหลายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดีนี่แหละ เชื่อหรือไม่ว่ากลายเป็นขนมทานเล่นที่เติบโตก้าวกระโดด จากเริ่มต้นเป็นเพียงแค่ขนมที่เอาไว้เป็นเพียงของฝากเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นขนมทานเล่นในรูปแบบสแน็ค(ขนมขบเคี้ยว)ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังมาจากฝีมือการบริหารงานของนักธุรกิจเลือดใหม่ ทายาทธุรกิจค้าส่งอาหารทะเล 3 พี่น้องตระกูล “หริรัตน์เสรี” ที่ร่วมกันสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจครอบครัว สานต่อธุรกิจพร้อมให้กำเนิดขนมขบเคี้ยวแบรนด์ใหม่นามว่า “ชาวเล”
บริษัท มารีนเนอร์ กรุ๊ป จำกัด เริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจกันมาตั้งแต่ปี 2547 ภายใต้การบริกงานของสามพี่น้องนักธุรกิจรุ่นใหม่ “คุณธนะรักษ์ คุณคนึงนิตย์ และคุณธนะพงษ์ หริรัตน์เสรี” อาศัยความได้เปรียบทางด้านวัตถุดิบเพราะมีกิจการค้าส่งมาหารซีฟู๊ดส์อยู่แล้ว นำมาแปรรูปเป็นขนมพร้อมทานแบบสแน็ค เพื่อหวังที่จะเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ ที่ชอบความแปลกใหม่ อีกทั้งการนำเอาอาหารทะเลมาทำเป็นขนมทานเล่นในขณะนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายมาก และยังเป็นเจ้าแรกๆที่ทำ
เดิมครอบครัวทำธุรกิจค้าส่งอาหารทะเลให้แก่โรงงานต่างๆมานานกว่า 40 ปี ต่อมาก็ได้แตกไลน์เพิ่มการแปรรูปสินค้าเป็นปลากรอบ และได้วางขายตามร้านขายของฝากทั่วไป ซึ่งก็ยังไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายเพราะเน้นเป็นสินค้าของฝากเลยยังไม่รู้จักในวงกว้าง ในที่สุดก็มาถึงรุ่นของทั้งสามพี่น้องที่จะต้องเข้ามาดูแลกิจการ สามพี่น้องก็คิดที่จะที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มอาหารทานเล่น จึงได้เริ่มต้นด้วยการผลิตกันเองแบบง่ายๆบรรจุใส่ซองใสแล้วก็แปะสติกเกอร์จากนั้นก็ได้ลองไปขอวางขายตามร้านขายฝาก แต่ทว่าผลตอบรับจากยอดขายที่ออกมานั้นไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ ยอดขายทั้งเดือนมียอดรวมอยู่ที่หลักหมื่นบาทเท่านั่นซึ่งถือว่าน้อยมาก
เมื่อเห็นเช่นจึงต้องหาทางออกใหม่ โดยการกลับมาคิดหาจุดเด่นจุดด้อย และก็พบว่าเนื่องจากสินค้านั้นถูกกลืนหายไปกับสินค้าแบรนด์ดังต่างๆเมื่อนำไปวางในหมวดสินค้าจำพวกของฝาก และเมื่อเปรียบเทียบในเรื่องราคาและปริมาณแล้วก็แทบจะสู้เจ้าอื่นไม่ได้ ดังนั้นได้ลองหันกลับมาทบทวนกันดูใหม่ แม้ว่าทั้งสามจะเริ่มท้อบ้างแต่ทุกคนก็ยังสู้ไม่ถอยระดมสมองกันช่วยหาทางออก จนในที่สุดก็พบว่าควรมองที่กลุ่มเป้าหมายเป็นหลัด เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือคนรุ่นใหม่ ดังนั้นการวางขายในร้านขายของฝากคงจะไม่เหมาะ ดังนั้นจึงได้มองหาช่องทางในการนำสินค้าไปวางขายใหม่
และครั้งนี้ได้เล็งร้านสะดวกซื้อ อย่าง “(7-11) เซเว่นอิเลฟเว่น” จึงไปเข้าร่วมโครงการ “จับคู่ธุรกิจ” ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดร่วมกับ 7-11 เพื่อที่จะนำเสนอสินค้านั่นเอง และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ และนำมาสู่การลงทุนจัดตั้งบริษัท มารีนเนอร์ กรุ๊ป จำกัด ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2552 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการซื้อเครื่องจักรอีกกว่า 3 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับปรุงโรงงานให้พร้อมสำหรับทำธุรกิจในมาตรฐานระดับสากล
พร้อมทั้งได้รับคำแนะนำและคำปรึกษาทั้งในเรื่องของการปรับเปลี่ยนสินค้าให้เหมาะสมแก่กลุ่มลูกค้าสมัยใหม่ ปรับแพ็คเกจจิ้ง ปรับขนาด และตั้งราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ก็ใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนอยู่นานพอสมควร จนในที่สุดก็ได้รับความไว้วางใจจากเซเว่นให้นำสินค้าไปวางขายได้ จนสามารถวางขายครบ 8 พันสาขาของเซเว่น ปัจจุบันสร้างยอดขายในปี 2557 กว่า 10 ล้านบาท สัดส่วนการขายมาจากการขายผ่านหน้าร้านเซเว่นฯ 75% และวางขายผ่านซูเปอร์มาร์เกตรวมทั้งโมเดิร์นเทรดอื่นๆ ประมาณ 20% นอกจากนั้นอีกประมาณ 5% มาจากส่งออกไปต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง เป็นต้น
ข้อมูลติดต่อธุรกิจขายขนมทานเล่น
Mariner Group Co., Ltd. 57/49 Moo 4 Ekkachai Road, Kokkham, Muang, Samut Sakhon 74000 Thailand
Tel: +66 899 2233 55
Email: info@marinergrp.com
Website : http://www.chaolay.co.th/eng
Facebook : https://www.facebook.com/Chaolay
หมายเหตุ : รูปภาพที่ใช้เป็นเพียงสื่อประกอบบทความเท่านั้น