โรงเรียนนับเป็นสถานที่จุดยุทศาสตร์สำคัญในการขายของ เพราะมีกลุ่มลูกค้าที่แน่นอนทุกวัน ยิ่งเป็นโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่นักเรียนจำนวนหลายพันคนต่อวันก็ยิ่งมีโอกาส การขายอาหารหรือของกินในโรงเรียนนั้น ผู้ขายมั่นใจได้ว่าจะมีลูกค้าแน่ๆหากคุณมีฝีมือการทำอาหารที่อร่อยไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ และแน่นอนเมื่อเป็นแหล่งหารายได้ชั้นดี ก็ต้องแย่งชิงพื้นที่กันพอสมควร ผู้ที่เป็นเลิศเท่านั้นจึงจะสามารถคว้าทำเลทองที่เอาไว้ได้ เนื่องจากการจะขายอาหารในโรงเรียนนั้นก็ต้องมีเงื่อนไขเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติของแต่ละโรงเรียนนั่นเอง
“แล้วจะต้องทำอย่างไรจึงจะคว้าสิทธิเข้าไปขายของในโรงเรียนได้?”
ผู้ประกอบการจะต้องทำความเข้าก่อนว่าการที่จะได้เข้าไปขายของในโรงเรียน พื้นที่โรงอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก ดังนั้นโรงเรียนจึงจะต้องเปิดให้มีการสอบแข่งขันเพื่อเข้ามาขายของในโรงอาหาร ดังนั้นผู้ที่สนใจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบอยู่เสมอ
ติดตามความเคลื่อนไหวของโรงเรียน
หากมั่นใจในฝีมือของตัวเองแล้ว ก็ให้หมั่นติดตามประกาศของทางโรงเรียนแต่ละโรงเรียนเอาไว้อย่าให้คลาดสายตา เมื่อมีประกาศรับสมัครจะได้พร้อมสมัครทันที ปัจจุบันโรงเรียนแต่ละแห่งก็จะมีเพจของโรงเรียนทำให้ง่ายในการติดต่อประสานงานและรับทราบข่าวสารได้ไวกว่าแต่ก่อน
เตรียมฝีมือให้พร้อม
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าแต่ละโรงเรียนก็จะมีการทดสอบที่แตกต่างกันออกไป บางโรงเรียนก็มีการทดสอบให้ทำอาหารให้กรรมการชิม บางโรงเรียนอาจมีทั้งการทดสอบทำอาหารและสอบข้อเขียนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอาหาร โภชนาการและสุขลักษณะ เป็นต้น ซึ่งก็ไม่ต้องกังวลไปสำหรับการทดสอบข้อเขียนนั้นไม่ได้ยากจนเกินไป เป็นการวัดความรู้พื้นฐาน หากมั่นใจว่ารสมือเยี่ยมก็ไม่ต้องกลัวการสอบอื่นๆแล้ว
เตรียมตัวเองให้พร้อม
นอกจากเตรียมตัวในเรื่องของรสชาติอาหารแล้ว การเตรียมความพร้อมสำหรับตัวเองก็เป็นส่วนสำคัญในการประเมิน ผู้เข้าสอบจะต้องดูแลความสะอาดและความเรียบร้อยของตัวเองด้วย อาจไม่ต้องถึงขั้นแต่งหน้าทาปาก แต่ก็ให้ดูสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าไม่รกรุงรังใส่หมวกเก็บผมเพื่อความสะอาด เล็บมือเล็บเท้าสะอาด เสื้อผ้าสะอาด เป็นต้น เป็นการเตรียมความพร้อมให้กรรมการประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
เตรียมเอกสารให้พร้อม
ในการสมัครเข้าทดสอบให้ผู้สมัครจัดเตรียมเอกสารตามที่โรงเรียนกำหนด เอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น รวมทั้ง รายการอาหารที่จะทำให้กรรมการชิม ตลอดจนหากมีความสามารถในการจัดทำเอกสารเมนูอาหารที่ตัวเองถนัดด้วยก็จะยิ่งดี เป็นการแสดงให้กรรมการเห็นถึงความตั้งใจจริง
ขั้นตอนการสมัคร
- โดยทั่วไปแล้วทางโรงเรียนที่เปิดรับสมัครคนขายอาหารในโรงอาหารจะมีการแจ้งให้ทราบผ่านทางช่องทางการติดต่อของโรงเรียน เช่น Facebook page หรือ เว็บไซต์ของโรงเรียน บอร์ดประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน เป็นต้น พร้อมทั้งจะระบุว่าต้องการพ่อค้าแม่ค้าอาหารประเภทไหน เช่น ขายเบเกอรี่ ขายเครื่องดื่ม ขายข้าวแกง หากตรงตามความสามารถของคุณก็ให้รีบสมัครเลย
- การรับสมัครจะให้ผู้ที่สนใจสมัครด้วยตัวเองที่โรงเรียน ตามวันเวลาที่กำหนด (บางโรงเรียนอาจมีการเปิดรับสมัครออนไลน์)
- เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว จะมีการทดสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ (หรือการสอบข้อเขียนและการทดสอบทำอาหารให้กรรมการชิม)
- เมื่อทดสอบเรียบร้อยแล้วหากผ่านการคัดเลือกก็จะได้สิทธิขายของในโรงอาหารของโรงเรียนนั้นๆ
เงื่อนไขและข้อกำหนดที่ควรทราบ
- การทำสัญญาให้สิทธิในพื้นที่อาจมีค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น ซึ่งบางโรงเรียนอาจจะเรียกเก็บแค่ค่าน้ำ ค่าไฟ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงเรียน
- ระยะเวลาของสัญญา โดยส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ในระยะสั้น เช่น 1-2 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้า เพราะหากให้สัญญาระยะยาวพ่อค้าแม่ค้าอาจลดคุณภาพไม่รักษาระดับคุณภาพของอาหาร
- หากทำผิดสัญญา อาจมีการยึดพื้นที่คืนและยกเลิกสัญญา การกระทำผิดสัญญาที่ร้ายแรงอาจทำให้เสี่ยงต่อการยกเลิกสัญญาได้ เช่น ให้คนอื่นมาเช่าต่อ ลักลอบขายสินค้าผิดกฏหมาย เป็นต้น
ข้อดีของการขายของในโรงเรียน
1.มีลูกค้าจำนวนมาก เพราะในโรงเรียนเป็นสถานที่ที่มีเด็กนักเรียนจำนวนมาก บางโรงเรียนมีนักเรียนหลายพันคนและยิ่งในต่างจังหวัดไม่อนุญาตให้เด็กๆออกไปรับประทานอาหารข้างนอกเพราะกลัวเสี่ยงอันตราย ทำให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ในโรงเรียนจำนวนมาก ซึ่งนับว่าเป็นทำเลทองสำหรับการขายของ เพราะเราจะไปหาปริมาณลูกค้ามากมายขนาดนี้ได้อย่างไรทุกวัน
2.การขายแบบผูกขาด หมายถึงในโรงเรียนจะมีกำหนดประเภทอาหารและเครื่องดื่มเอาไว้ เพื่อไม่ให้ขายซ้ำซ้อนกัน เกิดการแย่งลูกค้ากัน ดังนั้นหากเราขายข้าวแกงอยู่แล้วก็มั่นใจได้ว่าเด็กๆที่อยากทานข้าวแกงก็จะมาหาท่านอย่างแน่นอน เพราะมีขายอยู่ร้านเดียว
3.มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง การขายของในโรงเรียน ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะขายอะไรดี ขายที่ไหน เพราะจะมีกำหนดเมนูอาหารแต่ละสัปดาห์ที่ขายให้นักเรียนอยู่แล้ว
4.การันตีฝีมือ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าโรงเรียนจะคัดเอาคนที่มีฝีมือจริงๆ ทำอาหารได้อร่อยถูกปากคนส่วนใหญ่มาขาย ดังนั้นเมื่อเวลาถึงช่วงปิดเทอมไม่ได้ขายของในโรงเรียนก็สามารถรับออเดอร์ส่งสำนักงาน หรือออฟฟิศอื่นๆได้โดยที่ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติ เมื่อทราบว่ามีประสบการณ์ขายอยู๋ในโรงเรียน
ข้อเสียของการขายของในโรงเรียน
1.มีการกำหนดราคาขาย ทางโรงเรียนจะกำหนดราคาขายสำหรับเด็กนักเรียนเอาไว้ ซึ่งหมายความว่าเราจะขายเกินราคาไม่ได้ และหากวัตถุดิบบางอย่างมีการปรับขึ้นราคาแต่ในขณะเดียวกันเราไม่สามารถเพิ่มราคาได้
2.มีการวัดผลประจำปี ตัวเลขการวัดผลและความพึงพอใจของนักเรียนจะเป็นตัวที่คอยกดดันอยู่เสมอ แต่หากรักษาระดับมาตรฐานเอาไว้ได้ก็ไม่ต้องกังวล
3.มีคนพร้อมเสียบแทนอยู่เสมอ หากไม่รักษาคุณภาพรสชาติอาหารเอาไว้ให้ได้ โรงเรียนก็พร้อมที่จะหาคนใหม่มาแทนที่คุณอยู่เสมอ
4.ขาดรายได้ช่วงปิดเทอม จริงอยู่ที่สามารถขายได้กำไรดีในช่วงการเปิดเรียนปกติทุกวันจันทร์ – ศุกร์ แต่ช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ขาดรายได้ไปกว่า 2 เดือนเลยทีเดียว ดังนั้นในช่วงปิดเทอมอาจจะต้องหารายได้เสริมจากทางอื่น
และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่สนใจอยากจะเข้าไปขายอาหารในโรงเรียน ซึ่งเป็นทำเลขายของที่ใครๆก็ปรารถนาจะได้เข้าไปขายดูสักครั้ง หากท่านมั่นใจในการทำอาหารของท่านแล้ว ก็อย่ารอช้ารีบเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อมีการรับสมัครจะได้ทันท่วงที