ธุรกิจร้านอาหาร “กะทิ” เอสเอ็มอีน้องใหม่ยกระดับอาหารไทยสูตรต้นตำรับ
รสชาติของอาหารไทยเป็นที่ถูกปากของคนเกือบทุกมุมโลก ดังจะเห็นได้จากการจัดอันดับอาหารรสชาติอร่อยจากประเทศต่างๆ เมนูของไทยนั้นจะติดอันดับต้นๆเสมอ จานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดได้แก่ ต้มยำกุ้ง แกงมัสมั่น และผัดไทย ที่ให้รสชาติต้นตำรับไทยแท้จริงๆ ทั้งความเผ็ด เปรี้ยว หวาน และมันตามแต่ละชนิด แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารไทยที่มีนับหมื่นร้านนั้นมีกรรมวิธีปรุงที่แตกต่างกันไป ซึ่งยังไม่มีองค์กรใดกำหนดให้เป็นมาตรฐานเพื่อคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ จนในที่สุดด้วยความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนได้ก่อให้เกิดร้านอาหารไทย “กะทิ” เอสเอ็มอีน้องใหม่ที่เป็นตัวแทนมาตรฐานความอร่อยแบบต้นตำรับของอาหารไทยได้อย่างถึงแก่น
ผู้ริเริ่มธุรกิจร้านอาหารไทยแบรนด์ กะทิ คือ “คุณมรุต ชโลธร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาโก กรุ๊ป แอนด์ ไอ-มารุ โกลบอล และบริษัท ไทยดิลิเชียส โกลบอล ได้เริ่มต้นธุรกิจนี้ขึ้นด้วยความต้องการให้อาหารไทยมีมาตรฐานความอร่อยแบบต้นตำรับ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการ “Thai Delicious” จากความร่วมมือของบริษัทฯและสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งโครงการนี้ได้เผยแพร่สูตรอาหารไทยแท้ถึง 11 สูตรที่ให้รสชาติดั้งเดิมให้แก่สาธารณะชนเพื่อนำไปต่อยอด ได้แก่ ต้มยำกุ้งน้ำใส ต้มยำกุ้งน้ำข้น ผัดไทย แกงมัสมั่น แกงเขียวหวาน ข้าวซอย ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง แกงเหลือง และซอสไก่กอและ ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูอาหารในร้านกะทิทั้งสิ้น
คุณมรุตได้วางตำแหน่งธุรกิจร้านอาหารไทยกะทิให้แสดงถึงไลฟ์สไตล์แบบไทย รวบรวมอาหารจานเด็ดจากทุกภูมิภาคของประเทศไทยมาบรรจุในเมนูของร้าน ทุกเมนูต่างมีความอร่อยและตกแต่งจานอย่างสร้างสรรค์เหมาะกับคนสมัยใหม่ พร้อมคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ได้เมนูที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะอาหารจานหวาน เช่น ข้าวเหนียวไอศกรีมมะม่วง น้ำแข็งไสชาไทย กรานิต้ากล้วยเชื่อม และเบียร์มะม่วง ซึ่งสามารถผลิตขึ้นเป็นที่แรกในโลก ด้านการตกแต่งร้านนั้นมีการตกแต่งให้บรรยากาศร้านออกแนวสบายแฝงความเป็นชนบทด้วยกำแพงอิฐและโต๊ะเก้าอี้ไม้ ทำให้นอกจากความอิ่มอร่อยที่ลูกค้าจะได้รับแล้วยังได้ผ่อนคลายและทานอาหารอย่างมีความสุข
จุดเด่นของธุรกิจร้านอาหารกะทิ นอกจากกับข้าวที่มีความอร่อยแบบต้นตำรับแล้ว ข้าวสวยซึ่งมีส่วนสำคัญยังมีให้ลูกค้าเลือกสรรมากถึง 5 ชนิด เช่น ข้าวกล้อง ข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมนิล สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่รักสุขภาพได้อย่างดี เพราะจุดมุ่งหมายของทางร้านคือการสนับสนุนเกษตรผู้ปลูกข้าวไทยให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ เพราะในปัจจุบันนี้ความสามารถในการปลูกและส่งออกข้าวของประเทศไทยเริ่มลดลงจนไม่ใช่ประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดอันดับ 1 อีกต่อไป
ธุรกิจร้านอาหารกะทิและโครงการ Thai Delicious นั้นใช้งบลงทุนมากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้มีการเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมลงทุนได้ โดยสาขาที่จะเปิดในต่างประเทศนั้นคาดว่าเปิดได้ในปี 2559 แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสทางธุรกิจของร้านอาหารไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก เพราะแม้จะมีเอสเอ็มอีในรูปแบบนี้จำนวนมากแต่ความอร่อยแบบไทยแท้นั้นสามารถหาได้ยาก ด้วยองค์ประกอบคือ เครื่องปรุงและวัตถุดิบที่สามารถหาได้ยากในต่างแดน
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจร้านอาหารไทยกะทิ เป็นกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารไทยทั้งคนสมัยใหม่หรือมาเป็นครอบครัว ซึ่งเป็นลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน เพราะราคาอาหารนั้นค่อนข้างสูง เนื่องจากวัตถุดิบของทางร้านทุกชนิดนั้นผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ได้รับการรับรองความสะอาดทุกชนิด การตลาดในตอนนี้จะเน้นไปที่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์คือ Facebook และมีการออกบูทตามงานต่างๆ โดยอาศัยความร่วมมือจากทางภาครัฐให้ร้านเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในขณะนี้เป็นช่วงของการทดลองตลาดหลังร้านเปิดได้ไม่ถึง 3 เดือนและในอนาคตทางร้านกะทิได้คาดหวังที่จะเป็นผู้นำตลาดอาหารไทยที่มีชื่อเสียงติดอันดับทั้งในไทยและต่างประเทศ
ข้อมูลติดต่อธุรกิจร้านอาหารกะทิ
Facebook :www.facebook.com/KATI.ThaiDelicious
E-mail :katithaidelicious@gmail.com
เบอร์โทรศัพท์ : 09-2626-0011
หมายเหตุ รูปภาพที่ใช้เป็นเพียงสื่อประกอบบทความเท่านั้น