นิสัยที่ควรหลีกเลี่ยงหากอยากเป็นเถ้าแก่ล้านเงิน

การจะทําธุรกิจซักอย่างหนึ่งให้ประสบความสําเร็จให้ได้นั้นคุณต้องวางแผนการอย่างรัดกุม ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจที่คุณคาดหวังไว้ว่าซักวันหนึ่งธุรกิจตัวนี้จะต้องเป็นธุรกิจเงินล้านได้อย่างแน่นอน การวางแผนระยะยาวจะต้องมาจากแผนระยะสั้น หลายๆแผนเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าสามารถจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ปัจจัยต่างๆล้วนมีผลกับธุรกิจของคุณทั้งสิ้นไม่ว่าจะสถานการณ์บ้านเมือง สภาวะเศรษฐกิจของโลกหรือประเทศ แต่ปัจจัยสําคัญที่สุดนั้นก็คือตัวคุณเอง ความเคยชินในชีวิตประจําวันบางอย่างก็ไม่เหมาะกับการนํามาใช้เป็นวิธีทางการทําธุรกิจ ในบทความนี้จะได้ยกสิ่งที่ควรเลี่ยง 9 ประการที่คุณอาจลืมนึกถึงไปบ้างหรือบางประการที่คาดไม่ถึงก็มี

ถ้าคุณสามารถเลี่ยงนิสัย 9 ประการนี้ได้เชื่อแน่ว่าซักวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นเถ้าแก่เงินล้านอย่างแน่นอน

1.อย่าใจร้อน การจะลงทุนทําธุรกิจซักอย่าง
คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลในด้านต่างๆอย่างรอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นทําเลที่ตั้งว่าเหมาะสมกับรูปแบบของธุรกิจหรือเปล่า เช่น เปิดธุรกิจร้านอาหารแต่ทําเลที่เปิดอยู่ในตรอกที่ ไม่ค่อยมีคนผ่าน ไม่มีโรงงาน ไม่มีบริษัทที่มีพนักงานประจําจํานวนมาก แต่รีบตัดสินใจเปิดเพียงเพราะว่าที่ถูกอย่างนี้ก็เติบโตได้ยาก อย่างสินค้าที่จะเลือกมาจําหน่ายนั้นก็ควรที่จะรู้กลุ่มเป้าหมายอยู่แล้วมันก็เปรียบเสมือนการเอาเหยื่อปลาที่ ปลาชนิดหนึ่งชอบ ไปล่อไว้ในแหล่งที่มีปลาชนิดนั้นมันก็สมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว นั้นหมายความว่าก่อนที่จะเริ่มลงมือทําธุรกิจจริงคุณก็ผ่านกระบวนการกลั่นกรองทางความคิดให้มาก สมมุติสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ และแนวทางแก้ปัญหา

ถ้าคุณสามารถหาวิธีแก้ปัญหาตามที่คิดไว้นั้นได้ทั้งหมดก็ตัดสินใจเปิดธุรกิจได้เลย แม้ว่าในสถานการณ์จริงอาจมีปัญหาบางปัญหาที่คุณคาดการณ์ไว้ไม่ถึงแต่ก็น่าจะเป็นส่วนใหญ่แล้วที่คุณได้เตรียมการณ์รับมือไว้ล่วงหน้า และอย่าลืมเรื่องสําคัญที่สุดอย่างเรื่องงบประมาณคิดเผื่อไว้เลยว่าคุณ สามารถขาดทุนได้นานเพียงใด และในช่วงเวลานั้นคุณสามารถ ทําให้ธุรกิจของคุณติดตลาดแล้วเลี้ยงตัวมันเองได้หรือไม่ ฉะนั้นอย่าใจร้อนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม

2.อย่าใช้จ่ายเงินโดยที่ไม่มีการบันทึกรายรับรายจ่าย
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่หลายๆคนมักมองข้ามไป เพียงเพราะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ที่สามารถที่จะยืดหยุ่นกันได้นิดๆ หน่อยๆคงไม่เป็นไร เป็นความคิดที่ผิดนะครับ คุณรู้ไหมว่ามีรายจ่ายเบ็ดเตล็ดอีกหลายรายการที่เกินจําเป็น และหากว่าไม่มีการบันทึกมันไว้คุณก็จะไม่มีทางรู้อีกเลยเช่นกัน และเมื่อนานไปเงินส่วนเหลือใช้พวกนี้มันก็จะสะสมมากขึ้นเป็นก้อนใหญ่และทําให้คุณไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ในที่สุด มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆนะในตอนที่คุณกําลัง

มองไปที่บัญชีรายรับรายจ่ายสมองของคุณก็จะประมวลผลได้ ทันทีว่ามีจุดไหนเป็นสิ่งเกินจําเป็นและวางแผนที่จะตัดส่วนนั้นออกไปในที่สุด หรือแม้กระทั้งคุณจะพบว่าควรไปเพิ่มเติมส่วนไหนจึงจะมีรายรับเพิ่มมากขึ้น ประโยชน์อีกอย่างในการทําบัญชีรายรับรายจ่ายก็คือตอนที่คุณจะต้องไปกู้ยืมเงินมาเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ หรือไม่ก็ปรับปรุงพัฒนาธุรกิจเดิม บัญชีตัวนี้แหละที่จะอํานวยความสะดวกให้คุณได้อย่างมหาศาล ดียิ่งกว่าสมุดบัญชีธนาคารซะอีก

3.อย่าถอดใจถ้าการดําเนินธุรกิจยังไม่ครบรอบ
คนทําธุรกิจส่วนหนึ่งมักถอดใจล้มเลิกธุรกิจไปกลางคันเสียก่อน เพียงเพราะเจอปัญหาบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน พยายามมองในระยะยาวไว้ การทําธุรกิจก็ต้องมีอุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา เป็นบททดสอบว่าหากคุณไปอยุ่ในจุดที่สูงกว่านี้ ปัญหาหนักกว่านี้คุณพร้อมจะรับมือมันหรือเปล่า คําหนึ่งที่คุณควรทําความเข้าใจคือรอบธุรกิจ เทียบง่ายๆก็เหมือนกับ ฤดูกาลใน 1 ปี เขตร้อนก็จะมี 3 ฤดู เขตหนาวก็จะมี 5 ฤดู แต่ละฤดูก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ ฤดูหนาวอากาศเย็น ฤดูร้อน อากาศร้อน ฤดูฝนฝนก็ตก ธุรกิจเองก็เช่นกันไม่ว่าธุรกิจนั้นจะครองตลาดส่วนมากแค่ไหนย่อมต้องมีรอบของมัน ช่วงระยะเวลาใดธุรกิจทําเงินได้มาก ช่วงเวลาใดธุรกิจทําเงินได้น้อย อย่างน้อยๆคุณต้องอยู่สัมผัสมันให้ครบหนึ่งรอบเสียก่อนเพื่อวางแผนการแก้ปัญหาสําหรับรอบต่อไป

แต่ละธุรกิจมีรอบไม่เท่ากัน และระยะเวลาของช่วงทําเงินกับช่วงขาดทุนก็สั้นยาวไม่เท่ากัน คุณต้องเรียนรู้ให้หมดว่าธุรกิจมีช่องโหว่ช่วงไหน เหมือนจะเห็นได้ว่าห้างร้านใหญ่ๆก็มักจะจัดโปรโมชั่น ในช่วงเวลาที่เป็น low ร้านอาหารก็จะจัดโปรโมชั้นช่วงกลางสัปดาห์ หรือ ก่อนปลายเดือน อย่างนี้เป็นต้น

ที่นี้ลองยกตัวอย่างธุรกิจรอบยาว 1 ปีดูบ้าง อย่างธุรกิจกวดวิชาจะมีช่วง low ในช่วงปิดเทอมซึ้งใน 1 ปี มีช่วง ปิดเทอม 2 ครั้ง นอกจากนั้นยังมีช่วงวันหยุดยาวอีกบางช่วง อย่างช่วงปีใหม่ หรือตรุษจีน อันนี้ก็จะไม่ค่อยกระทบซักเท่าใด เพราะไม่ใช่ช่วงเวลายาว ช่วงปิดเทอมเด็กนักเรียนที่เรียนประจํา ก็จะหยุดพักกันไปซะส่วนใหญ่ สิ่งที่คุณต้องทําก็คือสังเกตว่าในช่วง low นี้ที่ยังเหลืออยู่เป็นนกลุ่มใด จากนั้นก็วางแผนกระตุ้นการขายส่งเสริมโปรโมชั่นให้กลุ่มนี้ไปเลยเต็มๆ หรือลองจัดกิจกรรมอื่นดู หรือไม่ก็เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่เด็กระดับอื่นบ้าง เมื่อวางแผนไว้แล้วก็ลองใช้ในรอบธุรกิจต่อไป แล้ววิเคราะห์ว่าผลที่ได้คุ้มค่าตามต้องการหรือไม่หรือว่ายังไม่คุ้ม เท่าที่ควรก็วางแผนแก้ไขกันใหม่ในรอบธุรกิจต่อไป อย่างนี้เป็นต้น ลองปรับประยุกต์ไปตามธุรกิจของคุณละกัน

4.อย่าเลี่ยงคําติเตียน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากพัฒนาธุรกิจแล้วล่ะก็รู้ไว้เลยว่าปกติแล้วคนที่จะติเตียนคุณเนี้ย มีแค่ 2 ประเภท คือ คนที่อิจฉาคุณ กับคนที่รักและเป็นห่วงคุณเท่านั้น ต่างกันตรงที่ว่าคนที่อิจฉานั้นจะติเตียนลับหลังคุณ แต่คนทีรักและเป็นห่วงคุณนั้นจะติเตียนคุณต่อหน้าตรงๆ ดังนั้นหากมีใครมาติธุรกิจหรือการบริหารงานของคุณจงฟัง

และขอบคุณเค้าซะนั้นแสดงว่าเค้าเป็นห่วงคุณเหลือเกิน การที่คนๆหนึ่งจะรวบรวมความกล้าพูดติเตียนคุณซึ้งๆหน้านั้นต้อง ผ่านการพินิจพิเคราะห์กลั่นกรองคําพูด วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดตามมา รวมไปถึงคิดว่าจะกระทบกับจิตใจคุณอย่างไร ด้วย จนสุดท้ายพ่ายแพ้เหตุผลที่ว่าหากไม่บอกธุรกิจคุณล้มแน่ เมื่อทุกเหตุผลมันลงตัวเค้าจึงจะตัดสินใจพูดกับคุณนี้คือ เงาสะท้อนที่ดีที่สุดของธุรกิจเลย และธุรกิจที่เติบโตได้เร็ว ส่วนมากก็จะนําข้อติเตียนเหล่านั้นนั่นแหละมาเป็นประเด็นหลัก แล้วหยิบยกไปแก้ปัญหา ทําให้ธุรกิจนั้นๆเติบโตขึ้นและครองใจ คนส่วนมากได้ในที่สุด

5.อย่าอคตกิบัธุรกิจของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่คุณมี
อคตินั่นนแสดงว่าคุณกําลังถอดใจต้องลองมองย้อนกลับในข้อแรกว่าก่อนการเริ่มธุรกิจนั่นคุณก็ยังคงมีความเชื่อมั่นใน ธุรกิจของคุณเลยว่ามันจะประสบความสําเร็จและไปรอดในที่สุด แล้วแค่เพียงอุปสรรคเล็กน้อยคุณก็เริ่มมีอคติแล้วธุรกิจของ คุณมันจะไปรอดได้อย่างไร ความคิดอคติที่ว่านี่ก็อย่างเช่น ธุรกิจนี้น่าจะไม่เหมาะกับทําเลแถวนี้หรือเปล่า หรืออาจคิดว่า สินค้าของคุณไม่ดีเหรอ เว้นเสียแต่ว่าในข้อห้ามข้อแรกคุณ ไม่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดรีบร้อนทําธุรกิจจนลืมวิเคราะห์ปัญหาที่จะ เกิดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

6.อย่าหมิ่นเงินน้อย
ธุรกิจในช่วงเริ่มต้นนั่นจะทําเงิน ได้ไม่มากเท่าที่ควรอาจเรียกได้ว่าไม่คุ้มเลยก็ว่าได้ แต่ในเมื่อคุณผ่านข้อห้ามข้อแรกมาได้แล้วนั่นแสดงว่าคุณเองก็มีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจของคุณจะสามารถเติบโตได้อย่างแน่นอน ดังนั้นควรจะวางแผนการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆให้เหมาะสม กับธุรกิจดีกว่ามานั่งอมทุกข์ว่าได้เงินน้อยจัง ซักวันหนึ่งเงินน้อยๆหลายๆก้อนนี้แหละที่จะทําให้คุณเป็นเศรษฐีพันล้าน ยกตัวอย่างง่ายๆคุณคิดว่าทําน้ำพริกขายเนี้ยกําไรจะมากซักเท่าไหร่เชียว ใครๆก็ทําน้ำพริกเป็นแต่ทําไมเจ้าของธุรกิจเหล่านั้นเขายังยืนหยัดสู้จนเป็นส่วนหนึ่งของตลาดได้ในที่สุด ไม่แพ้พวกแบรนด์ดังๆเสียด้วยซ้ำ ข้อแตกต่างมันอยู่ที่ทัศนคติ เจ้าของธุรกิจเหล่านี้เค้าผ่านรอบธุรกิจมาแล้วหลายรอบเค้า มองออกว่าจุดไหนสามารถพัฒนาได้อีก 1 กระป๋องกําไร 1 บาท ล้านกระป๋องก็กําไรล้านบาทแล้วไม่เห็นต้องคิดให้ยุ่งยากเลย คุณคิดมาตั้งแต่แรกแล้วก็จงมุ่งมั่น มั่นใจทําให้สําเร็จให้ได้

7.อย่าให้คนอื่นทํางานให้
ฟังแล้วเหมือนกับขัดหลักการบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ แต่มันคือหลักสําคัญ เพราะว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณต้องรู้ขั้นตอนของธุรกิจทุกอย่าง รู้ปัญหาทุกอย่างและรู้วิธีแก้ปัญหาทุกอย่าง ถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตขึ้นมาจนมีพนักงานหลายร้อย คุณก็ต้องลงมือเข้าไปหางานทุกส่วนด้วยตัวเอง แค่เพียงถามไถ่ก็ดีมากมายแล้ว คุณก็จะได้รู้ด้วยว่าพนักงานของคุณเค้ารักธุรกิจเหมือนที่คุณรักหรือเปล่า พนักงานก็จะรักและเคารพคุณ ยิ่งขณะมีปัญหายิ่งดีคุณสามารถแสดงแสนยานุภาพของคุณให้เค้าเหล่านั่นได้ เห็นการแก้ปัญหาของคุณที่ทั้งคมทั้งฉับไวเท่านี้ทุกคนก็คงต้อง ยอมสยบให้ความทุ่มเทของคุณ และก็จะทุ่มเทให้ธุรกิจของคุณ อย่างแน่นอน

8.อย่าตกยุค
ข้อมูลข่าวสารสําคัญมากสําหรับทุก ธุรกิจ ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวต่างประเทศ ข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง ข่าวเทคโนโลยี แทบทุกข่าวจะทําให้คุณทราบถึงการ เปลี่ยนแปลงของสถานการณ์บ้านเมืองทั้งในและนอกประเทศ คุณก็สามารถที จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าอาจพบกับวิกฤต อะไรต่อไปหรือไม่ ควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร หรือว่าจะพลิก วิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไรดี ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ คุณรับเข้ามาทั้งนั้น

9.อย่าปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอ
คงไม่ดีแน่หากคุณหาเงินมามากมายก่ายกอง เพื่อจองห้องพิเศษสุดในโรงพยาบาลชั้นเฟิร์สคลาส ที่ทั้งสุดหรูและสุดแพงมันไม่คุ้มกัน แค่เพียงคุณจะหาเวลาออกกําลังให้บ่อยๆ ไม่ต้องหาข้ออ้างว่าไม่มีเวลาเพราะเวลานั่นป็นต้นทุนได้เปล่า ทุกคนได้รับมาคนละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน คุณจะเอามาแบ่งทําอะไรบ้างต่างหากแค่เพียงเจียดเวลาซักวันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงหาสถานที่ออกกําลังกายจะที่ไหนก็ได้ เปลี่ยนที่บ้างก็ได้ ดีไม่ดีอาจได้ขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆด้วยก็ได้ คนมีความคิดดีอยู่ที่ไหนก็ทําธุรกิจได้ การสังสรรค์หากเลี่ยงไม่ได้ก็ลดหาอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายบ้าง เพราะคุณใช้สมองในการคิดมากทีเดียวต้องบํารุงให้ถึงที่อาหารสดสะอาดดีกว่าอาหารเสริมอย่างแน่นอนราคาก็ถูกกว่า เท่านี้คุณก็สามารถมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไว้ลุยงานสานฝัน มีสุขภาพสมองที่ปลอดโปร่งไว้คิดแก้ปัญหาหรือวางแผนล่วงหน้าได้อย่างสบายๆแล้ว

แสดงความคิดเห็น