เมื่อไหร่ที่ถึงเวลาจะต้องขยายธุรกิจ? การขยายธุรกิจในเวลาที่ผิดอาจเป็นอันตรายได้มากกว่าการไม่ขยายเลย หากต้องการทราบว่าจะขยายธุรกิจเมื่อใดนั้น ให้ผู้ประกอบการพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
9 ปัจจัยบ่งบอกถึงเวลาขยายธุรกิจ
- มีฐานลูกค้าที่ภักดี ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งเป็นสัญญาณที่ดี มันบ่งบอกถึงความต้องการอย่างต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงความพึงพอใจกับคุณภาพของสิ่งที่คุณทำหรือขาย กลุ่มลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาวคือกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
- ลูกค้าขอให้คุณเติบโต สำหรับธุรกิจ SMEs สังเกตว่าลูกค้าของคุณต้องเดินทางจากที่ไกลๆเพื่อไปช็อปที่ร้านของคุณหรือไม่? คุณต้องจัดส่งผลิตภัณฑ์จำนวนมากไปยังสถานที่ห่างไกล หรือสถานที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่? ถ้ามีแสดงว่าคุณอาจจำเป็นจะต้องมีสาขาหรือมีจุดบริการสำหรับพื้นที่นั้นๆเพื่อรองรับลูกค้ารายใหญ่หรือตัวแทนหลักของธุรกิจคุณ
- ธุรกิจทำกำไรได้มากกว่า 3 ปี กำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์การขยายตัวทางธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือตามช่วงฤดูกาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามการทำกำไรที่มั่นคง เป็นสัญญาณว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องและโมเดลธุรกิจของคุณจะใช้งานได้ดีเช่นกันเมื่อแยกไปที่อื่นหรือแตกสาขาออกไป
- มีทีม/พนักงานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเติบโต พนักงานของคุณจะต้องพร้อมสำหรับการทำงาน ความต้องการใหม่และความท้าทายใหม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งผูประกอบการจะต้องมีพนักงานหรือทีมที่สามารถก้าวขึ้นมารับผิดชอบตำแหน่งที่ดูแล 2 สายการผลิตได้ พูดง่ายๆคือสามารถดูแลได้ทั่วถึงทุกสาขาเมื่อมี่การขยายกิจการ หากคุณมีพนักงานเหล่านี้อยู่แล้วโอกาสในการประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจของคุณมีมากเช่นกัน
- อุตสาหกรรมหรือตลาดของคุณกำลังเติบโต หากอุตสาหกรรมของคุณกำลังขยายตัว ธุรกิจของคุณก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเติบโต เนื่องจากมีความต้องการในอุตสาหกรรมนั้นสูง เมื่อความต้องการสูงขึ้นอัตราการขาย โอกาสในการสร้างรายได้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- มีเงินทุนที่มั่นคง หากไม่มีจัดการระบบการเงินอย่างชาญฉลาด คุณจะไม่มีรากฐานทางการเงินที่ดีเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ ดังนั้นตรวจสอบการเงินธุรกิจของคุณอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายในการขยายตัวทางธุรกิจได้
- ขายดีจนทำงานไม่ทัน ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับลูกค้าในเวลาเดียวกันได้เพราะสินค้าของคุณขายดีเหลือเกิน จนคุณและพนักงานแทบไม่ได้พักเลย 24 ชั่วโมง โดยสาเหตุไม่ได้มาจากการจัดการเวลาไม่ดี แต่มาจากความต้องการของลูกค้าสูง พูดง่ายๆก็คือลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเยอะจนทำงานกันไม่ทัน นี่เป็นสัญญาณสำคัญว่าถึงเวลาต้องขยายธุรกิจแล้ว
- เห็นช่องทางเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้อง หากยอดขายของผลิตภัณฑ์หรือบริการเริ่มต้นของคุณแข็งแกร่งแล้ว อาจเป็นเวลาที่จะเพิ่มสินค้าอื่นๆหรือขยายหมวดสินค้า ตัวอย่างเช่น หากคุณทำและขายรถเข็นเด็ก คุณสามารถเพิ่มรถเข็นประเภทต่างๆเข้าไปอีก เช่น อุปกรณ์เสริมเสริมรถเข็น เป็นต้น หรือหากคุณเป็นเจ้าของร้านทำผม คุณอาจเพิ่มบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น แว็กซ์ขน นวดหน้า เป็นต้น
- มีระบบปฏิบัติการที่ดีอยู่แล้ว จัดทำขั้นตอนการปฏิบัติงานไว้เป็นเอกสาร เพื่อนำไปอบรมพนักงานทั้งที่มีอยู่เดิมและพนักงานใหม่ นอกจากนี้จะต้องจัดอบรมพัฒนาศักยภาพอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้มีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยของการขยายธุรกิจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการแสวงหากลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ การที่จะให้บริษัทหรือธุรกิจของตัวเองนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการคาดหวังกันทุกคน แต่การที่จะขยายกิจการเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยไม่มีการวางแผนกลยุทธ์นั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงและไม่ควรทำ
10 เคล็ดลับ “วิธีการขยายธุรกิจ”
1. เสนอสิ่งใหม่ๆ
หนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการขยายธุรกิจ คือการเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆเสริมเข้าไป วิธีนี้ผู้ประกอบการจะต้องทราบว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใดที่ลูกค้าต้องการและพวกเขายินดีจ่ายเท่าไร? ในฐานะเจ้าของธุรกิจที่ควรประเมินตลาดและมองหาโอกาสใหม่ๆอยู่เสมอ แต่หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการหาว่าจะขายอะไรต่อไปดี ให้เริ่มต้นด้วยการวิจัยตลาด คุณจะทำแบบสอบถามลูกค้าปัจจุบันเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อสินค้าที่มีอยุ่ และขอความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวข้องและลูกค้าต้องการให้มีเพิ่มและเป็นสิ่งที่พวกเขายินดีจ่าย
แต่จงจำไว้ว่าสินค้าหรือบริการที่จะนำเสนอเพิ่มขึ้นนั้นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกับธุรกิจหลัก เช่น หากคุณขายเครื่องแต่งกาย อาจเริ่มด้วยการเสนอขายรองเท้าหรือกระเป๋าเพิ่มเข้าไป กุญแจสำคัญคือการกระจายข้อเสนอเพื่อให้เกิดการเติมเต็มซึ่งกันและกัน
2. เพิ่มประสิทธิภาพตลาดที่มีอยู่ของคุณ
การเติบโตทางธุรกิจของคุณไม่ได้หมายถึงการหาลูกค้าใหม่เสมอ อาจหมายถึงการขายให้กับลูกค้าเก่าที่มีอยู่ ในการใช้กลยุทธ์นี้ให้แบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อระบุลูกค้าที่มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากคุณอีก การวิเคราะห์นี้สามารถแบ่งลูกค้าของคุณตามเกณฑ์ที่คุณเลือกได้ เช่น อายุ สถานที่และประวัติการซื้อ เมื่อคุณพบ “กลุ่มที่ทำกำไรได้มากที่สุด” ให้เน้นการขายและการตลาดในส่วนนั้น และเริ่มต้นขยายธุรกิจโดยคำนึงถึงลูกค้ากลุ่มนี้เป็นหลัก
3. ตลาดเฉพาะกลุ่ม
คุณสามารถทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้โดยการ “จำกัดตลาดให้แคบลง” เพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงมากๆหรือเรียกว่า ตลาดเฉพาะกลุ่ม ข้อดีของการมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะกลุ่มคือมีการแข่งขันน้อยลงและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ นอกจากนี้ตลาดเฉพาะกลุ่มนั้นมีอัตราความภักดีต่อแบรนด์สูงและมีการเติบโตแบบปากต่อปากที่แข็งแกร่ง
4. ย้ายเข้าสู่ตลาดใหม่
เมื่อคุณย้ายเข้าสู่ตลาดใหม่ หมายความว่าคุณกำลังขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่ให้กับลูกค้าใหม่ กล่าวคือเป็นการเปิดที่ตั้งใหม่หรือเน้นทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่
5. มีอ้างอิงผู้ใช้งานจริง
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการย้ายเข้าสู่ตลาดใหม่ คือการอ้างอิงจากลูกค้าเดิม หรือที่เราคุ้นเคยกันกับคำว่า “รีวิว”นั่นเอง ผลสำรวจพบว่า 83% ของผู้บริโภคเชื่อมั่นในคำแนะนำของครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงรีวิวโฆษณาสินค้าจากลูกค้าเก่า/ลูกค้าประจำ วิธีที่ดีที่สุดในการตีตลาดแบบปากต่อปาก คือการสร้างโปรแกรมการอ้างอิงจากลูกค้า คือเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าแล้วนำพวกเขาสู่หน้าให้คะแนนหรือรีวิวสินค้าที่ใช้ ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นระบบและดูน่าเชื่อถือ
6. เปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณพร้อมสำหรับการซื้อทางออนไลน์เป็นวิธีที่ดีในการขยายตลาด ในการดำเนินการดังกล่าวผู้ประกอบการจะต้องตั้งค่าเว็บไซต์โดยใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จากนั้นให้ความสำคัญกับการทำ SEO และโฆษณาดิจิทัลในการดึงดูดลูกค้า ตลาดอีคอมเมิร์ซที่สำคัญๆ เช่น Amazon หรือ eBay การมีร้านค้าอีคอมเมิร์ซภายในตลาดหลักจะทำให้ลูกค้าสามารถค้นพบผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณได้ง่ายขึ้น
7. เป็นพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ
การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับธุรกิจอื่นๆสามารถให้คุณเข้าถึงกลุ่มตลาดใหม่ได้ครอบคลุม อย่างไรก็ตามการทำงานร่วมกับบริษัทอื่นๆอาจเป็นเรื่องยากและข้อตกลงหรือเงื่อนไขอาจซับซ้อนขึ้น แต่เมื่อเทียบกับการเพิ่มช่องทางในตลาดใหม่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการเป็นพันธมิตรได้เมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินไปได้ระดับหนึ่ง
8. ซื้อธุรกิจใหม่
การซื้อธุรกิจที่มีอยู่เดิม (Take over) สามารถเพิ่มขนาดธุรกิจของคุณเป็นสองเท่าในชั่วข้ามคืน แต่ก่อนจะไปซื้อธุรกิจใดๆนั้น ผู้ประกอบการต้องหาธุรกิจที่สามารถมาเติมเต็มธุรกิจของตัวเองก่อน และต้องอยู่ในสถานะทางการเงินที่มั่นคง ผู้ประกอบการต้องพิจารณาก่อนว่าการซื้อธุรกิจจะช่วยให้ธุรกิจของคุณแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร? มันจะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้หรือไม่? จะช่วยให้คุณกระจายการเสนอผลิตภัณฑ์ของคุณหรือไม่? เหล่านี้เป็นคำถามที่คุณควรตอบตัวเองให้ได้ตัดสินใจก่อนซื้อ
9. สร้างแฟรนไชส์
อีกวิธีหนึ่งในการขยายธุรกิจขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จ คือการสร้างแฟรนไชส์ เป็นตัวเลือกที่ดีถ้าผู้ประกอบการคิดว่าจะสามารถสร้างระบบรูปแบบแฟรนไชส์และมีการควบคุมที่ดี
10. วิเคราะห์การคู่แข่ง
หากผู้ประกอบการไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรต่อไปดี ให้พิจารณาถึงการขยายธุรกิจดูว่า “คู่แข่งสำคัญของคุณทำอะไรอยู่?” พวกเขาเพิ่งเปิดสายผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่หรือไม่? พวกเขาเปิดสาขาใหม่หรือไม่? เขากำลังทำอะไรในแง่ของกลยุทธ์การตลาด? เรียนรู้ว่าการแข่งขันของคุณขึ้นอยู่กับอะไร สิ่งนี้สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าธุรกิจของคุณต้องทำอะไรต่อไป และการวิเคราะห์คู่แข่งยังเป็นแรงบันดาลใจให้พัฒนาธุรกิจของตัวเองในรูปแบบใหม่
ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางในการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก หากผู้ประกอบการพิจารณาตามข้อมูลเบื้องต้นให้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาและอัพเดทข้อมูลในอุตสาหกรรมหรือตลาดของธุรกิจตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้ทราบถึงทิศทางและโอกาสในธุรกิจ หากมองเห็นโอกาสและมีแนวโน้มที่ดี การขยายธุรกิจถือเป็นการเติบโตอีกก้าวนึงของธุรกิจ
ปัจจัยบ่งบอกถึงเวลาขยายธุรกิจ
1.มีฐานลูกค้าที่ภักดี
2.ลูกค้าขอให้คุณเติบโต
3.ธุรกิจทำกำไรได้มากกว่า 3 ปี
4.มีทีม/พนักงานที่แข็งแกร่ง
5.อุตสาหกรรมหรือตลาดของคุณกำลังเติบโต
6.มีเงินทุนที่มั่นคง
7.ขายดีจนทำงานไม่ทัน
8.เห็นช่องทางเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้อง
9.มีระบบปฏิบัติการที่ดีอยู่แล้ว
วิธีการขยายธุรกิจ
1. เสนอสิ่งใหม่ๆ
2. เพิ่มประสิทธิภาพตลาดที่มีอยู่ของคุณ
3. ตลาดเฉพาะกลุ่ม
4. ย้ายเข้าสู่ตลาดใหม่
5. มีอ้างอิงผู้ใช้งานจริง
6. เปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ
7. เป็นพันธมิตรกับธุรกิจอื่นๆ
8. ซื้อธุรกิจใหม่
9. สร้างแฟรนไชส์
10. วิเคราะห์การคู่แข่ง