วิธีใช้ Google Trends : เคล็ดลับ 10 ประการที่น่าทึ่งสำหรับผู้ประกอบการ

Google Trends ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการสร้าง SEO เพียงอย่างเดียว แต่สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซและตัวแทนจำหน่าย (dropshipping) มันมีประโยชน์มากที่จะบอกให้ทราบถึงแนวโน้มผลิตภัณฑ์ สินค้าในแต่ละฤดูกาลหรือชี้ช่องทางในการทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่คุณได้ เราสามารถใช้ Google Trends ในการแยกแยะคู่แข่งออกมาได้ในแต่ละประเภทตามพื้นที่หรือตำแหน่งนั้นๆ ว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยดูจากสถิติที่แสดงข้อมูลการค้นหา ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในความสามารถของ Google Trends เท่านั้นยังมีเคล็ดลับการใช้งานที่จะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยขน์ได้อย่างถูกจุด โดยไม่ต้องควานหาเก็บรวบรวมข้อมูลและหาค่าเฉลี่ยเองให้ยุ่งยาก เสียเวลา ดังนี้

1.การใช้ Google Trends เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ
เมื่อต้องการทราบข้อมูลสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเฉพาะจงจง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา Google Trends เป็นเครื่องมือชั้นยอดในการค้นหาและจะแสดงกราฟสถิติในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นหมายความว่ามันจะแสดงข้อมูลความสนใจของสิ่งที่คุณค้นหาว่ามีมากน้อยเพียงใดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาในแต่ละเดือน และภาพรวมของปีนั้น ๆ เดือนไหนที่มีการค้นหามากที่สุดหรือน้อยที่สุด หรือจะค้นหาข้อมูลเปรียบเทียบย้อนหลังแบบเป็นปี ก็สามารถเลือกได้เช่นกัน (ดังตัวอย่างที่แสดงการค้นหาแฟชั่นสำหรับผู้ชาย ในช่วง 2004 – ปัจจุบัน)


จากภาพจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในในช่วงหลายเดือนเดือนมกราคม

2.ค้นหาหมวดหมู่สินค้าที่เกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าสินค้าที่คุณสนใจค้นหาคือ ขนตาปลอม ซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดของเครื่องลางและความงาม เมื่อลองค้นหาสินค้าประเภทนี้แล้ว จะพบว่ามีสินค้าใกล้เคียงอื่นๆที่จัดอยู่ในหมวดเดียวกันแสดงข้อมูลขึ้นมาให้เราสามารถพิจารณาเลือกสินค้าข้างเคียงเหล่านั้นไปเสริมในการขายได้เช่นกัน

จากรูปภาพจะเห็นว่า สีทาเล็บ และ อายแชโดว์ นั้นไม่ได้จัดอยู่ในสินค้าที่คุณขายนั่นคือขนตาปลอม แต่ทว่าสินค้าทั้ง 2 นั้นจัดอยู่ในหมวดเดียวกันกับสินค้าหลักของคุณดังนั้น สินค้าเหล่านี้ก็ควรจะนำมาส่งเสริมการขายได้เช่นกันดังที่กล่าวไปเบื้องต้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า แม้จะมีหัวข้ออื่นๆเสนอขึ้นมาให้ แต่ก็ใช่ว่าสินค้าเหล่านั้นจะสอดคล้องหรือเกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ประกอบการเสมอไป บางเรื่องข้อมูลที่โชว์ก็อาจดูไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ ดังตัวอย่าง เราจะพบว่าเมื่อค้นคำว่า ขนตาปลอม แล้วจะมีข้อมูลใกล้เคียงปรากฏมาแปลกๆอย่างหนึ่งนั่นคือ Kim Kardashian ซึ่งเราทราบกันดีว่า Kim Kardashian คือคนดังระดับโลกในต่างประเทศ ซึ่งพิจารณาดูแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบุคคลคนนี้เลย แต่คุณก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากคิมคาร์ดาเชี่ยนได้ นั่นคือ อาจจะเขียนนำเสนอเกี่ยวกับขนตาปลอมแบบที่คิมชอบใช้ก็ได้ เพื่อเสนอให้แก่ลูกค้าของคุณ เนื่องจากคิมเป็นที่รู้จักกันดีของสาวๆ เป็นทั้งนางแบบและผู้ทรงอิทธิพลในด้านแฟชั่นและความสวยงาม เพราะไม่ว่าเธอจะหยิบจับอะไร สาวๆก็พร้อมที่จะเอาอย่างเธอกันทั้งนั้น ดังนั้นเลือกใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ จะส่งผลเชิงบวกแก่ผู้ประกอบการเอง

3.ใช้ Google Trends เพื่อวิเคราะห์คำหลัก (Key Word)
ขอยกตัวอย่าง สินค้าหลักที่สนใจเป็น “เสื้อผ้าสตรี” และเมื่อทำการค้นหาแล้ว Google Trends แสดงให้เห็นว่าการค้นหาสิ่งนี้ มีอัตราค้นหาที่มีแนวโน้มสูงซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ตอนนี้คุณต้องการทราบว่าจะใช้คำหลักคำใดดี เพื่อที่จะนำไปตั้งชื่อหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ในร้านของคุณและวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการโพสต์ บล็อก ในหัวข้อเสื้อผ้าสตรี เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ คือ ให้คุณสังเกตที่ “คำที่เกี่ยวข้อง” ตามภาพตัวอย่าง และเลือกให้เหมาะสมตามความต้องการ ซึ่งสามารถเลื่อนไปดูคำอื่นๆที่ Google Trends รวบรวมไว้

ซึ่งจากตัวอย่างจะเห็นว่ามีคำใกล้เคียงแนะนำ อาทิเช่น เสื้อสีฟ้า ชุดเดรสสีฟ้า เสื้อเชิ้ต เป็นต้น ดังนั้นเราจึงประเมินได้ว่าหมวดที่เราจำเป็นต้องมีในร้าน ควรมีหมวดประเภทเสื้อผ้าแย่งตามสี และประเภทของเสื้อผ้าตามรูปทรง เช่น เสื้อเชิ้ต เสื้อคอกลม ชุดเดรส เสื้อคลุม เป็นต้น

4.เลือกโปรโมทร้านค้าให้สัมพันธ์กับความนิยมตามฤดูกาล
ความนิยมตามฤดูกาล มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้แก่ธุรกิจของคุณได้ ในแต่ละช่วงของปีจะมีช่วงที่กระแสสินค้านั้นๆ มีความนิยมสูงสุด (Hight) และช่วงที่ความนิยมเสื่อมถอย (Low) ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อยอดขายในแต่ละเดือนของผู้ประกอบการ ในช่วงฤดูกาลเที่ยว ฤดูการแข่งขัน ยอดขายของร้านก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงฤดูกาลต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการรู้ดีว่าในพื้นที่ประเทศที่อาศัยอยู่นั้นมีฤดูกาลอะไรบ้าง เมื่อทราบแล้วก็เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ เช่น เมื่อทราบว่าฤดูกาลที่ทำลังจะถึงเป็น “หน้าร้อน” สินค้าที่ควรเลือกโปรโมทก็ควรเกี่ยวกับอุปกรณ์คลายร้อน เสื้อผ้าสีสันสดใส ชุดว่ายน้ำ เป็นต้น

จากกราฟในภาพ เราจะเห็นว่าชุดว่ายน้ำหรือบิกินี่นั้นไม่ได้ขายดีเฉพาะในช่วงหน้าร้อนเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มมีแนวโน้มความสนใจสูงตั้งแต่เดือนมกราคมและเรื่อยไปจนถึงเดือนมิถุนายน หลังจากนั้นจึงค่อยๆลดความนิยมลงในช่วงเดือนพฤศจิกายน

หมายความว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม เป็นช่วงที่คุณอาจจะเตรียมพร้อมชุดว่ายน้ำ บิกีนี่แบบใหม่ เพื่อวางขายในช่วงพีคที่กำลังจะมาถึง หรือไม่คุณก็อาจใช้เวลาในช่วงนั้นผลิตสินค้าอย่างอื่นออกมาขาย เช่น ชุดนอนหรือชุดชั้นใน ซึ่งก็ยังดูใกล้เคียงกับสินค้าหลักอย่างชุดว่ายน้ำอยู่

5.ใช้ Google Trends เพื่อสร้างคอนเท้นส์ใหม่ๆ
การตลาดทางด้านคอนเท้นส์เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้ประกอบการชั้นนำต่าง ๆ มีปริมาณการเข้าชมมากขึ้น เพิ่มการรับรู้แบรนด์และเพื่อให้ได้ลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการสร้างเนื้อหา บล็อก สำหรับเว็บไซต์สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต หนึ่งในวิธีการเพิ่มการความรวดเร็วในการค้นหาแบบฉับพลัน คือ “การสร้างคอนเท้นส์ใหม่ๆ” เพราะเมื่อคุณสร้างเนื้อหาสาระใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณลงไป Google Bot ก็จะมาเก็บข้อมูลใหม่เพื่อนำไปแสดงเวลาที่มีการค้นหา บล็อกหรือเว็บไซต์ที่มีการอัพเดทอยู่เสมอก็จะได้รับโอกาสในการแสดงบนการค้นหามากขึ้นเช่นกัน แต่ต้องไม่ลืมว่าเนื้อหาที่นำเสนอนั้นจะต้องมีคุณภาพ ดูน่าเชื่อถือและมีประโยชน์ จากภาพเป็นการค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีซ่อมรถมอเตอร์ไซต์

6. สร้างบทความที่เกี่ยวข้องกับความสนใจในปัจจุบัน
เราจะสังเกตว่าเมื่อเปิดไปยังหน้าแรกของ Google Trends จะมีการแนะนำสำหรับอัตราการค้นหาที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ หมายถึงคำที่ใช้ในการค้นหาเหล่านั้นกำลังเป็นที่นิยมที่สุดนั่นเอง นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียกดูเทรนด์การค้นหารายวัน แบบเรียลไทม์หรือเทรนด์การค้นหาตามประเทศนั้นๆ

เราสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสความนิยมค้นหาได้ด้วย การสร้างบทความที่เกี่ยวข้องลงไป เช่นตัวอย่าง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2019 เทรนด์รายวันที่มีผู้ค้นหามากที่สุดคือ“ Momo Challenge” ซึ่งมีการค้นหามากกว่า 5 ล้านครั้ง คุณสามารถนำเอาคีย์เวิร์ดอื่นๆที่ใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้อง ซึ่งในตัวอย่างคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องคือ “เด็กๆ และ ผู้ปกครอง” ดังนั้นหากคุณเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและครอบครัว คุณสามารถนำเอาคีย์เวิร์ดนี้ไปสร้างบทความที่น่าสนใจและนำเสนอลงบนเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณ

7. ค้นหาหัวข้อเฉพาะภูมิภาคหรือประเทศ
หนึ่งในองค์ประกอบที่น่าสนใจที่สุดของ Google Trends คือ คุณสามารถค้นหาหัวข้อเฉพาะภูมิภาค เขต หรือประเทศ เป็นต้น ตัวอย่างเมื่อเราพูดถึงการโฆษณาคนส่วนใหญ่มักจะมองภาพรวมของคนทั้งประเทศ แต่อันที่จริงแล้ว ความสนใจของคนในภูมิภาคอื่นๆอาจจะไม่เท่ากันทุกพื้นที่ ดังนั้นการโฆษณาแบบนั้นจะไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด และเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

มาทำความเข้าใจกันจากข้อมูลการค้นหาในต่างประเทศ จากกราฟแสดงการค้นหา “ต่างหูทองคำ” เราจะเห็นว่า ประชากรในสหรัฐอเมริกามีทั้งหมดประมาณ 325 ล้านคน แน่นอนว่าระหว่างนิวยอร์คกับหลุยเซียน่าความสนใจต่อสินค้าของผู้คนทั้ง 2 รัฐนี้ย่อมแตกต่างกัน

กราฟแสดงผลการค้นหาช่วงปี 2004 – 2017 จะเห็นว่าในรัฐหลุยซียน่าสนใจต่างหูทองคำสูงมากในช่วงเดือนมกราคม 2004 และค่อยๆลดความสนใจลงเรื่อยๆจนถึงปี 2017 และยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ในขณะที่นิวยอร์คความนิยมค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2004 -2017 นั่นหมายความว่า ถ้าคุณจะเลือกโฆษณาต่างหูทองคำ  นิวยอร์คคือพื้นที่ที่คุณควรจะลงทุนเสียเงินค่าโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาใน Facebook หรือผ่าน Google Adwords ด้วยวิธีนี้คุณจะเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและโฆษณาอย่างคุ้มค่า

8. ตรวจสอบตำแหน่งของคู่แข่งด้วยการเปรียบเทียบ Google Trends
ใน Google Trends คุณสามารถตรวจสอบคู่แข่งและดูว่าพวกเขาใช้วิธีใดในการแข่งขันกับคุณ เรามาดูข้อมูลของบริษัทสร้างภาพยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Marvel ซึ่งเพิ่งจะปล่อยภาพยนตร์ Captain Marvel ออกมา มาดูกันระหว่าง Marvel Comics กับ DC Comics ฝ่ายไหนจะพัฒนาขึ้นมาอย่างไรบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้

กราฟแสดงข้อมูลปี 2004 – 2014 สิ่งที่น่าสนใจในคือในปี 2004 ทั้งสองค่ายมีประสิทธิภาพในระดับใกล้เคียงกัน โดยที่ Marvel มีข้อได้เปรียบเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหลังจากปี 2013 เราเห็นการเพิ่มขึ้นของ Marvel อย่างชัดเจน

ด้วยคุณสมบัตินี้ คุณสามารถเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดหรือคู่แข่งได้สูงสุด 5 รายการ คุณสามารถใช้ Google Trends เปรียบเทียบเพื่อให้แน่ใจว่าคุณก้าวล้ำหน้าคู่แข่ง และหากคุณพบว่าคู่แข่งบางรายกำลังเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าคุณ คุณก็ควรจะเริ่มวิเคราะห์ช่องทางการตลาดเพื่อทำความเข้าใจว่าคุณจะปรับปรุงอย่างไรดี

9. Google Trends YouTube
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว Google Trends จะใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณเป็นหลักแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงของคุณในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง YouTube กราฟแสดงผลปี 2016 -2018 จากรูปภาพนี้มาจากการค้นหาวิดีโอเกี่ยวกับ “เทรนด์แฟชั่น 2018” จากเว็บไซต์ YouTube มาก่อน เราสังเกตว่าวิดีโอยอดนิยมใช้คีย์เวิร์ดว่า “เทรนด์แฟชั่น 2019” ดังนั้นให้เราจะลองนำเอาคีย์เวิร์ดนั้นมาค้นใน Google Trends แล้วดูว่าเราได้อะไรมาบ้าง

พบว่าในเดือนมกราคมค้นหา “เทรนด์แฟชั่น 2018” พุ่งสูงขึ้นเป็นที่สนใจ แน่นอนว่าปี ค.ศ ที่เพิ่มลงในคีย์เวิร์ดนั้นจะทำให้เป็นคำค้นหายอดนิยมในช่วงต้นปี อย่างไรก็ตามหลังจากที่ลองกลับไปค้นหาใน YouTube “แนวโน้มแฟชั่น 2019” ในแถบค้นหาจะเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ

นั่นคือ วิดีโอยอดนิยมที่แนะนำขึ้นมานั้น แต่ละรายการจะเป็นเรื่องราวที่จะกล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดในปี 2019 ทั้งสิ้น แม้ว่าวันที่เผยแพร่วิดีโอไปนั้นจะอยู่ในปี 2018 ก็ตาม นั่นหมายความว่านักเขียนหรือบล็อกเกอร์ต่างๆมักจะสร้างเนื้อหาก่อนปีใหม่เพื่อต้องการให้มี Traffic เข้ามาก่อนคู่แข่งนั่นเอง

ดังนั้นหากคุณวางแผนที่จะสร้างวิดีโอที่รวมเทรนด์แฟชั่นในปี 2020 ทางออกที่ดีที่สุดของคุณคือ การเผยแพร่วิดีโอในช่วงเดือนมกราคมของปีนั้นๆ (เทรนด์ในแต่ละปีอาจไม่เหมือนกัน คีย์เวิร์ด เทรนด์แฟชั่นในปี 2020 เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างเท่านั้น)

10. Google Trends Google Shopping
สามารถใช้ Google Trends เพื่อช่วยคุณกำหนดเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างโฆษณา Google Shopping สมมติว่าคุณเป็นผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่นที่พยายามโปรโมทชุดสีขาวใหม่เอี่ยมในร้านของคุณ เมื่อดูที่คุณลักษณะการช็อปปิ้งของ Google Trends คุณสามารถกำหนดเดือนที่ดีที่สุดสำหรับโฆษณาของคุณ ลองดูข้อมูลประกอบด้านล่าง

จากภาพพบว่าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน มีการค้นหาชุดขาวใน Google Shopping จำนวนมาก แม้จะลดลงเล็กน้อยในเดือนสิงหาคม แต่ในเดือนกันยายนและตุลาคมก็ยังมีการค้นหาใน Google Shopping เพิ่มขึ้นอยู่ ดังนั้นหากคุณเป็นผู้ค้าปลีกคุณอาจเริ่มขายและโฆษณาชุดสีขาวของคุณ ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมิถุนายน และเดือนกันยายน – ตุลาคม และถ้าคุณอยากจะขายสินค้าไปยังต่างประเทศ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลสำหรับประเทศนั้นๆด้วยดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

แสดงความคิดเห็น