ประธานคลัสเตอร์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม สอท.ชี้ ตลาดเครื่องสำอางไทยศักยภาพสูง โตต่อเนื่องปีละ 5 % โอกาสยังเปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ ต้องต้องตามเทรนด์ให้ทัน แนะชู “Made in Thailand” เพิ่มความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์แก่คนต่างชาติ
คุณเกศมณี เลิศกิจจา ประธานคลัสเตอร์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องสำอางไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะตลาดในประเทศ เนื่องจากคนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเครื่องสำอางไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันมีมูลค่าโดยรวมอยู่ที่ 2.8 – 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 60 % และเป็นการส่งออก 40%
“ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่ตลาดเครื่องสำอางยังคงมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยปี 2562 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตขึ้นจากปีก่อน 5% และคาดว่าในปีหน้า หากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกกลับสู่สภาวะปกติ ตลาดเครื่องสำอางไทยจะโตได้ 5 – 8 % เลยทีเดียว ”
คุณเกศมณีกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นฮับของตลาดเครื่องสำอางในแถบภูมิภาคอาเซียน เพราะมีข้อได้เปรียบ ทั้งในเรื่องสถานที่ตั้งที่เปรียบเสมือนประตูการค้าไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับแหล่งวัตถุดิบชั้นดี พืชพรรณ สมุนไพร การขนส่งสะดวก และมีการพัฒนาการการผลิตที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
“ปัจจุบัน คนต่างชาติให้ความสนใจและเชื่อมั่นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามของไทยมากขึ้น และเป็นที่น่ายินดีว่าการส่งออกราว 97% มาจากผู้ประกอบการรายย่อย หรือ เอสเอ็มอี ซึ่งนับเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก และเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ชาวต่างชาติในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของไทย เราควรชูความเป็น Made in Thailand ไปด้วย เพื่อให้คนต่างชาติได้รู้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากเมืองไทย และภาครัฐเองก็ควรสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยการจัดงานแสดงสินค้าระดับประเทศ เพื่อให้ผู้ซื้อจากทั่วโลก เดินทางมารู้จักผู้ประกอบการและสินค้าไทยที่บ้านเรา เป็นช่องทางเพิ่มการส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยได้อีกทาง”
คุณเกศมณีกล่าวต่อไปว่า ธุรกิจเครื่องสำอางของไทย ยังเปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่อยู่เสมอ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมเครื่องสำอางก็ยังเติบโตได้ดี สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่สนใจเข้ามาทำตลาดแนะนำว่า ตลาดเครื่องสำอางเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้นผู้ประกอบการต้องตามเทรนด์ให้ทัน และต้องกลับมาดูตัวเองด้วยว่า คุณมีความสามารถในการทำการตลาดมากน้อยเพียงใด ถนัดตลาดไหน แล้วคุณต้องไปให้ถูกเป้าหมาย แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือการตั้งราคา ถ้าบวกเยอะเกินไป มันก็ไม่จูงใจ