การที่แคนาดาได้ออกกฎหมาย “Cannabis Act” ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ทำให้ในปัจจุบันนี้ชาวแคนาดาทั่วไปสามารถใช้กัญชาเพื่อการหย่อนใจได้โดยไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายอีกต่อไปนั้น ก่อให้เกิดกระแสตอบรับอย่างคึกคักจากหลายวงการทั้งในประเทศแคนาดาเองและในระดับโลกที่เริ่มยอมรับการใช้ประโยชน์จากกัญชามากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจต่างๆ ที่ถึงแม้ว่าทางการจะยังไม่ยอมให้สินค้าอื่นๆ ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่บรรดานักลงทุนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกัญชาโดยตรง หรือผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มต่างก็เล็งเห็นถึงโอกาสและหันมาให้ความสนใจถึงช่องทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้กัญชาเป็นส่วนผสมกันเป็นอย่างมากเพื่อต่อยอดทางธุรกิจและขยายตลาดสินค้าของตนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากการสำรวจพบว่าแนวโน้มธุรกิจสินค้าและบริการในแวดวงตลาดกัญชาที่น่าใจในขณะนี้ ได้แก่
ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา (Cannabis Edible)
โดยแนวโน้มของตลาด Cannabis Edibles ซึ่งหากว่ากันโดยขนาดแล้วจะใหญ่กว่าตลาดผู้บริโภคกัญชาโดยตรงมาก เพราะผู้ผลิตสามารถพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายรูปแบบ มีฐานลูกค้าที่กว้างขวางกว่า และสามารถสร้างกำไรได้มากกว่ากัญชาแบบสูบทั่วไป โดยข้อมูลจากบริษัท Grizzle เชื่อว่ามูลค่าตลาดอาหารและขนมจากกัญชาภายในปี 2022 จะอยู่ที่ราว 4,000 ล้านเหรียญแคนาดา สอดรับข้อมูลจากสถาบันการเงิน Deloitte ที่ประเมินว่า หลังจากที่รัฐบาลแคนาดามีแผนกำหนดให้ผลิตภัณฑ์กัญชาแบบ Edible ถูกกฎหมายภายในสิ้นปีนี้ จะมีชาวแคนาดาที่ใช้กัญชาอยู่ถึงร้อยละ 60 เลือกบริโภคผลิตภัณฑ์กัญชาแบบรับประทานได้ด้วย โดยผลิตภัณฑ์อาหารและขนมที่น่าจะได้รับความนิยมมากสุด ได้แก่ ขนมบราวนี่และคุ้กกี้ (51%) ช็อกโกแล็ต (43%) และอื่น ๆ (6%)
แคนาดาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และทำการตลาดร่วมกัน หรือการที่ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่อีกรายบริษัท มอลสัน คอรส์ บริวริ่ง กับผู้ผลิตกัญชา HEXO มีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมกัญชาแบบมีสาร THC หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตน้ำอัดลมอย่างบริษัทโคคาโคล่าก็เร่งพัฒนาสูตรผลิต เครื่องดื่มผสมกัญชาประเภท CBD เพื่อสุขภาพตามเทรนด์ที่หลายบริษัทในโลกเริ่มบุกธุรกิจเครื่องดื่มแนวนี้ นาย Mark Hunter ผู้บริหารของบริษัท มอลสัน คอรส์ บริวริ่ง เห็นว่าตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชามีความน่าสนใจมาก โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนตลาดคิดเป็นร้อยละ 30 ของตลาดผลิตภัณฑ์กัญชาแบบ Edible
ทั้งนี้ในอนาคตเชื่อว่าน่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มต่างๆ อาทิ กาแฟ น้ำโซดา น้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของกัญชาแบบที่มีสาร CBD เป็นส่วนใหญ่ เพราะสามารถอิงกระแสในเรื่องของสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวดและคลายความกังวลได้ ต่างจากรูปแบบที่เป็นส่วนผสมของสาร THC ที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท (psychoactive substance) ซึ่งทำให้เกิดอาหารเคลิบเคลิ้มมึนเมา
ผลิตภัณฑ์กัญชาที่มีสาร CBD (Cannabidoids)
เป็นส่วนประกอบโดยตรง อาทิ ผลิตภัณฑ์กาแฟ ช็อกโกแล็ต ครีมโลชั่นทาผิว สบู่ Bath Bomb รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ที่ผู้ผลิตมีการสร้างจุดเด่นของผลิตภัณฑ์โดยการใส่สาร CBD ลงไป เพราะมีสรรพคุณที่ช่วยบรรเทาอาการปวด คลายความกังวล และช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับได้ โดยสาร CBD นี้เป็นสารที่มีอยู่มากและสามารถสกัดได้จากพืชกัญชง หรือ Hemp (ไม่ใช่กัญชา หรือ Marijuana แต่เป็นพืชในตระกูลเดียวกันคือ Cannabis) ทั้งนี้แคนาดาถือเป็นผู้ปลูกกัญชารายใหญ่รายหนึ่งของโลก เนื่องด้วยส่วนหนึ่งมาจากการที่ทางการอนุญาตให้มีการปลูกได้มาตั้งแต่ปี 1998 ดังนั้นสาร CBD จึงได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันความตื่นตัวของผู้ประกอบการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CBD เป็นส่วนประกอบมากขึ้นหลังจากที่ห้าง Walmart ประกาศว่าอาจจะมีการจำหน่ายสินค้ากัญชาที่มีส่วนผสมของ CBD ภายในพื้นที่ของห้างฯ ในอนาคต และมีกระแสตอบรับที่ดีจนส่งให้ราคาหุ้นของบริษัทสูงขึ้น 2.5% ทันที จนกลายเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในอุตสาหกรรมค้าปลีกต่อไป
ธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง
ในเมืองใหญ่ของแคนาดาที่มีการกัญชาทั่วไปอย่างแวนคูเวอร์หรือโทรอนโต จะเริ่มเห็นมีการนำกัญชาเข้ามาตามร้านกาแฟ หรือร้านจาหน่ายอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ มากขึ้น หรือการที่ผู้ปลูกกัญชารายใหญ่บริษัท Cannabis Growth มีแผนที่จะปรับปรุงอาคารเก่าอย่างโรงงานผลิตช็อกโกแล็ตยี่ห้อ Hershey ในเมือง Smith Falls รัฐออนทาริโอ ให้เป็นศูนย์นักท่องเที่ยวเรียนรู้เกี่ยวกับกัญชา นอกจากนี้ ยังพบว่าในปัจจุบันเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศจองทัวร์ระดับหรู (Luxury) เพื่อเดินทางเข้ามาพักผ่อนในช่วงวันหยุดในแคนาดาเพื่อสัมผัสประสบการณ์การใช้กัญชาได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย ถึงแม้ว่ามูลค่าตลาดบริการกลุ่มนี้ยังไม่สามารถเทียบเท่ามูลค่าตลาดสินค้าจากกัญชาได้ แต่ก็เห็นถึงอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ข้อคิดเห็นของสานักงานฯ
สำหรับเรื่องการเปิดเสรีกัญชาอย่างเต็มรูปแบบนั้น ถือได้ว่าแคนาดาเป็นประเทศที่อนุญาตให้ใช้กัญชาอย่างกว้างขวางเป็นลำดับต้นๆ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีข้อจำกัดและระเบียบที่เข้มงวดตามมา อาทิ การควบคุมการปลูก การจำหน่าย การนำเข้าหรือส่งออก เป็นต้น ซึ่งโดยหลักการสำคัญที่รัฐบาลแคนาดาที่ประกาศควบคู่ไปกับการเปิดเสรีกัญชาคือจะต้องป้องกันไม่ให้เยาวชนสามารถเข้าถึงได้ จะต้องไม่เป็นแหล่งรายได้ให้มิจฉาชีพ และจะต้องปลอดภัยต่อสุขภาพของบุคคลทั่วไป ส่วนสินค้ากัญชาแบบ Edibles ที่ปัจจุบันยังไม่อนุญาตให้จำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมายนั้น หลังจากที่ได้ออกระเบียบและกฎเกณฑ์ควบคุมเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลน่าจะประกาศอนุญาตให้จำหน่ายบริโภคได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ จึงทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ เกิดความตื่นตัวที่จะพัฒนาสินค้าให้รองรับกับความต้องการภายในตลาดได้ทันที
ในส่วนของเองไทยที่เพิ่งจะมีการปลดล็อกกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ให้สามารถใช้กัญชาในทางการแพทย์และการวิจัยได้นั้น ได้สร้างกระแสความสนใจในเรื่องกัญชาและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาให้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากโดยผู้ประกอบการส่วนหนึ่งคาดหมายว่าจะมีการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้เพื่อนาไปต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจได้
ทั้งนี้นอกจากตัวกัญชาเองที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากแต่ยังมีโอกาสค่อนข้างจำกัดในประเทศไทยแล้ว กัญชง หรือ Hemp ก็เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ไทยได้มีการอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้อย่างถูกกฎหมายในบางพื้นที่มาแล้วตั้งแต่ปี 2560 และมีแนวโน้มว่าสาร CBD ซึ่งสามารถสกัดได้มากจากกัญชงกำลังอยู่ในกระแสความนิยมในระดับโลกเช่นเดียวกับกัญชา แต่มีข้อจำกัดน้อยกว่าและสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวางกว่าสาร THC จากกัญชาที่มีอันตรายมากกว่า จึงน่าจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งของผู้ประกอบการไทยในขณะนี้ที่จะศึกษาตลาดและความเป็นไปได้ในพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไป