เคยไหมสงสัยไหมครับว่าโค้ชที่สอนทำโฆษณา Facebook ทำเองได้จริงหรือเปล่า? ตั้งแต่ที่ผมลองคุยๆมา ผมบอกเลยครับว่าส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกครับว่าทำโฆษณา Facebook ให้ได้ผลจริงๆต้องทำยังไง เขาอาจจะรันโฆษณา Facebook แล้วได้เงินนิดหน่อย ก็เรียกตัวเองว่าเป็น “ครู” หรือเป็น “อาจารย์” สอนการทำโฆษณา Facebook
จริงๆแล้วผมไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับแต่ผมคิดว่าถ้าคุณอยากจะสอน คุณก็ต้องทำเองให้ได้ก่อน เหมือนคนอ้วนจะมาสอนลดน้ำหนักได้ยังไงใช่ไหมครับ? มันเป็นเหตุผลที่ว่าคนหลายๆคนถึงแม้ไปเข้าคอร์สทำโฆษณามากี่ที่ๆ ก็ยังทำไม่เป็นสักที ส่วนตัวผมเองผมเขียนบทความแชร์ความรู้เรื่องการทำโฆษณา Facebook มาพอสมควรแล้วนะครับ ถ้าไปค้นหาชื่อผมคงจะเจอหลายบทความครับ
ก่อนอื่นเลยผมอยากจะบอกนะครับว่า ผมไม่ใช่ “โค้ช” การทำโฆษณาใน Facebook นะครับ ผมเป็นคนที่สอนไม่เก่งครับ บางทีเขียนๆไปยังเรียบเรียงคำยังไม่ถูกเลยครับ แต่ในแต่ละอย่างที่ผมแชร์ให้กับคนที่ติดตามผม ล้วนมาจากประสบการณ์ผมล้วนๆครับ
สิ่งที่คุณจะได้จากบทความของผมครับ
- ได้รับความรู้ที่นำไปใช้ทำโฆษณา Facebook ได้จริงๆ
- เข้าใจถึงแก่นแท้ของการทำโฆษณา Facebook ไม่ใช่แค่ผิวเผิน
- การบอกแบบละเอียดว่าในแต่ละตัวต้องทำยังไงและใช้ยังไง
อีกอย่างผมไม่มีทางอุบความรู้ไว้เด็ดขาดครับ ที่ผมเขียนและทำอยู่ทุกวันนี้ ผมทำเพราะใจรักล้วนๆเลยครับ ไม่ได้ทำเพราะเงิน (ไม่งั้นผมไม่มาเขียนแจกความรู้ฟรีๆหรอกครับ)
ผมอยากจะเอาผลงานในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มาให้ดูก่อนนะครับ
เพิ่ม 1,028 ไลค์ (ไลค์ละ ฿0.20)
ผมได้มีโอกาสได้ทำงานกับมูลนิธิที่เขาช่วยเหลือน้องหมาและน้องแมวเพื่อช่วยเพิ่มไลค์โดยการใช้โฆษณา Facebook ครับ เราใช้เวลาอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ ผลลัพท์ที่เราได้มาก็คือไลค์ละแค่ ฿0.20 ครับ ถูกกว่าไปซื้อไลค์ปลอมมาอีกครับ
ซื้อโฆษณาวิดีโอ วิวละ ฿0.06
อันนี้มาจากลูกค้าของเราอีกบริษัทประกันรถยนต์แห่งหนึ่งครับ เขาพยายามจะสร้าง brand awareness ให้กับบริษัทของเขา ก็เลยอยากจะให้เราช่วยโฆษณา Facebook ให้หน่อยครับ
เราใช้เวลาอยู่ 2 อาทิตย์ สามารถซื้อวิว (เกิน 3 วินาที) ได้แค่ ฿0.06
คนเข้าเว็บแบบ Landing page view ละ ฿0.70
ใครที่เคยทำโฆษณาใน Facebook ก็คงจะรู้นะครับว่าไอ่เจ้า landing page view เนี้ยแพงมากๆเลยครับ แต่เราก็โชคดีที่ว่าลูกค้าให้เวลาทดลองโฆษณานาน เราเลยจับจุดกลุ่มลูกค้าได้ ผลออกมาก็เลยดีครับ
ผมไม่ได้มาโพสอะไรพวกนี้ให้ดูเพื่อที่จะอวดนะครับ เพราะผมไม่ได้อะไรอยู่แล้วครับ สิ่งที่ผมต้องการคือให้คุณรู้ว่าความรู้ที่ผมอยากจะบอกต่อให้กับคุณ มันเป็นความรู้ที่ใช้ได้จริงครับ ไม่ใช่ความรู้ที่ไปจำเขามาแต่ไม่เคยใช้มาก่อน
ผมกล้าพูดเลยครับว่า “ถ้าคุณเอาเทคนิคของผมไปใช้แล้วไม่ดีขึ้น ให้บินมาเชียงใหม่แล้วตบหน้าผมได้เลยครับ” (พูดจริงๆครับ ฮ่าๆ)
ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ วันนี้เราจะมาเรียนรู้การทำโฆษณา Facebook ที่ทำให้คนมากดไลค์เพจของคุณเยอะๆ แต่สบายกระเป๋าครับ
อย่างที่ผมบอกไปครับว่าผมอยากจะให้แต่ละบทความของผมเป็นประโยชน์จริงๆ ผมเลยขออนุญาตลูกค้าที่ใจดีของผม ยืมโฆษณามาทำเป็นกรณีทดลอง (case study) ให้กับคุณดูครับ
สิ่งที่คุณจะได้รับจากบทความนี้
- ขั้นตอนที่เราวางแผนทำโฆษณา
- กลยุทธ์ที่เราใช้ในเคมเปนนี้
- ขั้นตอนการสร้างโฆษณา (และวิธีคิด อย่างละเอียด)
- ผลลัพท์ของโฆษณานี้
ทำยังไงให้ได้ประโยชน์จากบทความนี้ที่สุด
- ทำความเข้าใจกระบวนการทำโฆษณาใน Facebook ที่ผมเขียนเอาไว้
- จดสิ่งที่เรียนรู้จากบทความนี้แล้วเอาไปคุยกับลูกทีมที่ช่วยทำโฆษณา
- ลองทำตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องสร้างโฆษณา
- ถ้าเกิดคำถามอะไร ถามในคอมเม้น
ถ้าคุณอ่านมาจนถึงขั้นนี้แล้ว แสดงว่าคุณมีความตั้งใจที่อยากจะทำโฆษณา Facebook ให้ได้ผลจริงๆ คุณคือ 1 ใน 10 ครับ ยินดีด้วยครับ
บทความนี้จะค่อนข้างยาวหน่อยนะครับ เพราะผมลงรายละเอียดเยอะ ถ้าไม่มีเวลาจริงๆผมแนะนำให้อ่านๆ หยุดๆ ได้ครับ แต่ควรจะให้จบตอนก่อนนะครับ
โจทย์ที่ผมได้จากลูกค้าคนนี้ก็คือ
- ทำโฆษณา Facebook เพื่อเพิ่มไลค์ อย่างน้อย 1,000 ไลค์
- สร้าง awareness ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ให้แบรนด์เป็นที่คุ้นตามากขึ้น
- ต้องเสร็จภายใน 2 อาทิตย์
- งบไม่อั้น
ตอนแรกที่ผมได้ยินลูกค้าผมบอกว่า “มีงบไม่อั้นนะ โจ้” ผมก็ตกใจเหมือนกันครับ เพราะว่าไลค์แค่ 1,000 ไลค์ ทำไมต้องมีงบเยอะขนาดนั้นด้วย ผมก็เลยบอกไปว่าผมจะทำให้ราคามันถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เพราะผมคิดว่า เงินลูกค้าก็เหมือนเงินผม
ลูกค้าคนนี้เป็นเจ้าของ “ยิมออกกำลังกาย” ครับ
ผมบอกตรงๆนี้ครับว่าที่ผมรับโฆษณานี้เพราะว่ามันดูน่าตื่นเต้นดีครับ เพราะใครๆก็บอกว่าทำโฆษณาให้กับยิมออกกำลังกาย ราคาแพงแล้วไม่ค่อยได้ผลง่ายๆ ผมก็เลยอยากจะลองดูครับ แต่ก่อนจะตกลงปลงใจ ผมก็ต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลกลุ่มเป้าหมายว่าจะทำยังไงให้ราคาถูกที่สุด จนผมมั่นใจผมจึงจะรับครับ
เตรียมตัวก่อนทำโฆษณา
ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ ผมต้องมานั่งคุยกับทีมของผมครับว่าสำหรับโฆษณานี้ จะใช้กลยุทธ์อะไรดี ตรงนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆนั่งคุยกันสัก 60 นาทีครับ
หลังจากคุยกันเสร็จแล้วผมกับลูกทีมได้ไปลองค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายและคู่แข่งของลูกค้าผมอีกทีครับ
เราสรุปกลยุทธ์ที่จะใช้กันดังต่อไปนี้ครับ
- ยิงโฆษณาเพื่อเรียก engagement แล้วดูว่าผลตอบรับเป็นยังไงและทดลองตัวโฆษณาด้วย
- ยิงโฆษณาที่เป็นบทความเกี่ยวกับยิมออกกำลังกายในพื้นที่ (สถานที่)
- ยิงโฆษณา remarketing อีกตัวให้กับคนที่กดเข้ามาดูในเว็บ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนที่กดไลค์เป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับร้านอาหารจริงๆ
- ทำ Lookalike audience เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายให้ใหญ่ขึ้น (ได้ไลค์เยอะขึ้น)
กลยุทธ์ของเราที่จะใช้ในโฆษณาเคมเปนนี้ก็มีแค่นี้ครับ เพราะว่าเรามีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เลยไม่สามารถทำอะไรได้เยอะกว่านี้ครับ
สำหรับการเตรียมตัวในครั้งนี้สิ่งที่ผมต้องการมีอยู่ 1 อย่าง ก็คือ “Audience insights tool”
มาดูกันครับว่าผมจะใช้ audience insights tool ยังไงให้ได้ผลดีและได้ไลค์ที่ราคาถูกๆ (แต่มีคุณภาพ) ได้ครับ
เข้าไปเช็คฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย
อันดับแรกก่อนที่ผมจะทำโฆษณา ผมต้องเข้าใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายมีเยอะแค่ไหน เพราะว่าอย่างที่ผมเคยบอกไปครับว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายเล็ก ค่าโฆษณาก็จะแพงไปด้วย
ผมลองใช้คำว่า “ physical exercise” เพื่อลองหาข้อมูลเบื้องต้นว่ากลุ่มเป้าหมายมันใหญ่แค่ไหนครับ
โห 10–15 ล้านนี้ก็เยอะพอสมควรเลยนะครับ (50% ของคนที่เล่น Facebook ในประเทศไทยน่าจะได้)
จะเห็นว่าส่วนใหญ่อายุตั้งแต่ 18–34 ปี หลังจากนั้นก็มีคนสนใจน้อยลงมาเรื่อยๆครับ
แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าเห็นมันคนเยอะแบบนี้ก็ใช่ว่าจะใช้คำนี้เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้เลยนะครับ เพราะว่าการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายของ Facebook มันไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ครับ เราต้องทำการบ้านเพิ่มนิดหน่อยครับ
เดี๋ยวผมแสดงให้ดูครับว่าทำไมคุณถึงไม่ควรจะเจาะจงคำว่า “physical exercise” ทั้งๆที่มีกลุ่มเป้าหมายเยอะเลย
เรามาดูกันที่เพจที่กลุ่มเป้าหมายคำว่า “physical fitness” ส่วนใหญ่ไปกดไลค์กันครับ
เห็นไหมครับว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับการออกกำลังกายเลย เพราะฉะนั้นมันเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยครับว่า “กลุ่มเป้าหมายกว้างเกินไป”
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
เพราะว่าระบบ Facebook มันทำงานแบบนี้ครับ ถ้าคุณเลื่อนๆลงมาใน feed ของคุณแล้วคุณเห็นรูปงูผูกโบว์ที่คอ แล้วคุณกดไลค์ แต่ไม่ได้คิดอะไร
แต่คุณรู้ไหมครับว่า Facebook จะจัดว่าคุณเป็นคนที่มีความสนใจเรื่องงูครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเจาะจงคนที่อยากจะซื้องูไปเลี้ยงหรืออะไรสักอย่าง ไม่ควรจะใช้คำว่า “snake” โดยตรงครับ เพราะจะไม่ได้กลุ่มเป้าหมายที่จริง
ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า คำว่า physical exercise ใช้ไม่ได้ผลครับ มันกว้างไป เรามาดูคำอื่นกันเลยดีกว่าครับ ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี
ผมจะลองใช้คำว่า “muscle & fitness” ดูนะครับ มาดูกันครับว่าจะเป็นยังไง
จะเห็นครับว่าถึงแม้กลุ่มเป้าหมายจะน้อยกว่าก็จริง (7–8 แสน) แต่มาเพจที่คนส่วนใหญ่ไลค์กันครับ จะเห็นว่าส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและฟิตเนสครับ คำๆนี้ถือว่าผ่านถลุยไปเลยครับ
เรามาดูกันครับว่าจังหวัดส่วนใหญ่ที่กลุ่มเป้าหมายอยู่ อยู่ที่จังหวัดไหนกันแน่
เราจะเห็นนะครับว่าส่วนใหญ่อยู่ในเชียงใหม่กับกรุงเทพอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเลยครับเพราะว่ายิมของลูกค้าผมอยู่กรุงเทพอยู่แล้วครับ
ตอนนี้หลังจากที่เราได้ไอเดียแล้วว่าคำว่าๆ “muscle & fitness” โอเค ผมก็จะมาจดไว้ใน note ของผมครับ
ผมต้องทำแบบนี้อยู่อย่างน้อย 10 ตัวครับ ถึงจะใช้ได้ครับ ถ้าคุณกำลังทำตามอยู่ ผมแนะนำนะครับว่าลองทำให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน เพราะว่าคุณต้องลองทำให้ตัวของคุณชินกับการใช้ audience insights tool ก่อนครับ
จำไว้นะครับว่าเราไม่ได้ต้องการคนที่แค่ “ชอบฟิตเนส” เราต้องการคนที่ “คลั่งฟิตเนส” จริงๆครับ คนพวกนี้จะทำให้เราคุ้มเงินได้มากกว่าครับ เพราะว่าเขาจะสามารถมีโอกาสที่จะกลายเป็นลูกค้าได้ด้วย และถ้าเราโพสอะไร ก็จะมีโอกาสสูงที่เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยครับ เช่น ไลค์ คอมเม้น แท็กเพื่อน อะไรแบบนี้ครับ
ถ้าเราได้คนพวกนี้มา เราจะสามารถสร้างแบรนด์ได้ยั่งยืนครับ ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะกด “unlike” ถ้าเราโพสเยอะเกินแน่นอนครับ (นอกจากคุณเอาแต่จะขายของอย่างเดียว อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ ฮ่าๆ)
ทบทวนอีกครั้งนะครับ “ความสนใจ” ที่คุณจะเอาไปเจาะจงกลุ่มลูกค้าต้องมั่นใจก่อนว่า “5 เพจแรกที่เขากดไลค์เยอะที่สุดต้องเกี่ยวกับความสนใจนั้นๆครับ” เช่น ถ้าคุณเจาะจงคนที่ชอบท่องเที่ยว แล้ว 5 อันดับแรกที่เขากดไลค์คือร้านเฟอร์นิเจองี้มันก็ไม่ไหวครับ
ขั้นตอนการสร้างโฆษณา
เพราะว่าลูกค้าของผมค่อนข้างจะรีบครับ ผมก็เลยต้องรีบทำโฆษณาขึ้นมาเพราะไม่อย่างนั้นผมกลัวจะไม่ทันครับ
บางทีที่เราเห็นๆกันอยู่ว่า Facebook จะอนุมัติช้า ถ้าแม้อนุมัติไปแล้วบางทีโฆษณายังไม่รันเลยก็มีครับ ดังนั้นผมเลยต้องรีบทำหน่อย
การเลือกรูปโฆษณา
โฆษณาจะรุ่งหรือจะร่วงก็จะขึ้นอยู่กับรูปโฆษณาส่วนใหญ่เลยครับ เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะเลื่อนผ่านทันทีครับ ถ้ารูปโฆษณาไม่น่าสนใจ
เพราะว่าตอนนี้มีโฆษณาที่แข่งกันเยอะครับ ไม่ใช่แค่โฆษณาอย่างเดียว คุณแข่งกับเพจที่เขาไปกดไลค์ รูปที่เพื่อนของเขาโพส และอะไรอีกเยอะแยะครับ
ก่อนอื่นเรามาดูกันครับว่าที่ผมไปศึกษามามีโพสอะไรบ้างที่ได้ผลและมีอะไรบ้างที่ไม่ได้ผล (สำหรับให้คนมีส่วนร่วมครับ ไม่ใช่ขายของนะครับ)
เราต้องทำการศึกษาก่อนครับว่ารูปแบบโพสแบบไหนที่กลุ่มเป้าหมายจะชอบ มาดูกันเลยครับ
รูปแบบโพสที่ “ได้ผล”
สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ส่วนใหญ่เท่าที่ผมกับลูกทีมไปศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายก็คือ โพสที่ได้ผลดีที่สุดมีดังต่อไปนี้ครับ
- โพสให้ความรู้
- โพสตอบคำถาม
เรามาดูตัวอย่างกันครับ
อันนี้ผมไปเอามาจากเพจของคุณ Aa_Perawatch ครับผม ส่วนใหญ่คุณเอจะโพสอะไรอยู่ 2 อย่างครับ นั้นก็คือให้ความรู้กับตอบคำถามครับ แล้วบางทีก็อาจจะมีการใช้เรื่องราวของคนที่คุณเอ เทรนให้มาเพื่อสร้างแรงบรรดารใจให้กับแฟนเพจครับ
แต่โดยทั่วไปแล้วคุณเอเน้นไปที่การให้ความรู้ครับ
ผมเอาตัวอย่างอีกสัก 2 ตัวมาให้ดูครับ ตัวอย่างนี้ผมไป screenshot หน้าจอมาจากเพจ “Planforfit” มาครับ
เขาทำ infographic ได้สวยดีครับ ผมชอบ ฮ่าๆ
อีกอันหนึ่งครับ
ดูแล้วน่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ ขนาดผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการเล่นเวท ผมยังอยากจะอ่านเลยครับ ฮ่าๆ
รูปแบบโพสที่ “ไม่ได้ผล”
ที่ผมไปศึกษารูปแบบโพสที่ไม่ได้ผลส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่กลุ่มเป้าหมาย “ไม่ได้ประโยชน์” ด้วยครับ ที่ผมไปสำรวจมา โพสที่ไม่ได้ผลมีดังนี้ครับ
- โพสที่เกี่ยวกับโฆษณา (คนติดตามเขารู้ครับ)
- โพสที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของเพจ
เรามาดูตัวอย่างที่ผมได้มาจากคุณ A เลยครับผม
คุณจะเห็นครับว่าถึงแม้คุณ A จะเป็นคนที่ดังในแวดวงคนเล่นกล้ามแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะโพสขายของแล้วจะได้ผลตอบรับที่ดี
ผมคิดว่าสาเหตุเพราะว่าคนที่ติดตามคุณ A ส่วนใหญ่เขาไม่ได้สนใจยาประมาณนี้ครับ แต่ถ้าเป็นพวกโปรตีนอาหารเสริมนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ คุณ A ต้องทดลองดู
อันนี้อีก 1 ตัวอย่างครับ
เห็นไหมครับว่า ถึงแม้คุณ A จะดังแต่ถ้าโพสอะไรที่ไม่ตรงกับเนื้อหาของเพจ ก็จะทำให้ engagement ตกได้เหมือนกันครับ
อย่าลืมนะครับว่าถ้าโพสแบบนี้บ่อยๆ Facebook จะลด “เข้าถึง” คนติดตามเพจครับ
ตอนนี้เราก็เข้าใจกันแล้วนะครับว่า ถ้าอยากจะได้คนเข้ามาไลค์เพจของลูกค้าผมเยอะๆ ต้องใช้รูปแบบโพสหรือโฆษณาแบบไหน ใช่ไหมครับ?
ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคุณไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย แล้วเอาทำโฆษณามั่วๆ ลองคิดดูครับว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง เสียตังโดยเปล่าประโยชน์จริงไหมครับ?
หลังจากที่ผมได้ข้อมูลมาทั้งหมดแล้ว ผมก็ส่ง “แนวทาง” การดีไซน์โฆษณาขึ้นมาให้กับกราฟฟิก ดีไซน์เน้อของผมครับ
ลูกค้าผมไม่มีเวลามาก ต้องการให้เสร็จภายใน 2 อาทิตย์ ผมเลยไม่อยากจะทดลองอะไรมากครับ สร้างโฆษณามาแค่ 3 ตัวเพื่อจะทดลองเท่านั้นครับ
หลังจากได้ดีไซน์อะไรหมดแล้วผมก็พร้อมแล้วครับที่จะลุย ผมอยากจะย้ำอีกรอบนะครับว่าถ้าคุณทำโฆษณา อย่าทำมาแค่ตัวเดียวนะครับ ทำมาอย่างน้อย 2 ตัวเพื่อเอามาทดลองกันครับว่าอันไหนได้ผลดีกว่ากัน แต่ถ้าคุณมีงบน้อยจริงๆ ก็ไม่ต้องห่วงครับ สร้างมาตัวเดียวก็พอครับ
เรามาขั้นตอนต่อไปที่น่าสนใจกันเลยครับ ฮ่าๆ
สร้างกลุ่มลูกค้าและการเจาะจง (audience targeting)
ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าคุณจะมีรูปโฆษณาหรือเขียนโฆษณาที่ดีแค่ไหนถ้าคุณไปเจาะจงคนที่ไม่สนใจสินค้าของคุณ คุณก็ขายไม่ออกหรอกใช่ไหมครับ?
เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ผมจะลงรายละเอียดนิดหนึ่งนะครับ จะได้เข้าใจกันง่ายๆและสามารถทำตามได้เลยครับ
จำที่เราทำตอนแรกๆไปได้ไหมครับ ที่เราจด “ความสนใจ” ของกลุ่มเป้าหมายไว้ใน note ตอนนี้ได้ใช้แล้วครับ ฮ่าๆ
ตอนแรกหลังจากใส่ชื่อโฆษณาอะไรไปหมดแล้ว เรามาดูตรงนี้กันครับ เป็นส่วนสำคัญที่หลายๆคนยังทำผิดอยู่ครับ
1. จังหวัดและพื้นที่ — ใส่แค่กรุงเทพเพราะว่าที่เราเห็นกันไปตอนแรกคือว่ากลุ่มเป้าหมายไปกระจุกอยู่ที่กรุงเทพที่เดียวถึง 37% เพราะฉะนั้นผมเลย target แค่กรุงเทพเท่านั้นครับ
2. อายุ — อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเลยครับ เราค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลัง กฎของการทำโฆษณาคืออย่าคิดไปเองครับ ให้ข้อมูลและตัวเลขเป็นคนบอกดีกว่า
3. เพศ — เหมือนกับอายุครับอย่าไปเดาว่าเพศหญิงหรือชายใครจะสนใจโฆษณาคุณมากกว่ากัน ผมเคยเจอสินค้าบางตัวอย่างแหวนงี้อะครับ คิดว่าจะไม่มีผู้ชายซื้อแต่ก็มีเยอะจนน่าตกใจเลยครับ
4. ภาษา — อันนี้ก็เหมือนกันครับ อย่าไปห่วงเพราะเราไม่รู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราตั้ง Facebook ให้เป็นภาษาอะไร นอกจากคุณจะ target คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง
เหตุผลที่ผมเจาะจงทั้งกรุงเทพ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ใกล้ๆกับยิมเพราะว่าผมต้องการใช้กลุ่มเป้าหมายใหญ่ครับแล้วราคามันจะถูก อีกอย่างยิมนี้เป็นยิมที่มีหลายสาขาครับ เพราะฉะนั้นเลยไม่มีปัญหา
แล้วเลื่อนลงมา แล้วจะมาเจาะจงที่ตัวนี้เป็นพิเศษครับผม ผมจะเอาสิ่งที่ผมจดเอาไว้มาลงเลยนะครับ เรามาดูกันครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
เราจะเห็นว่าเราได้กลุ่มเป้าหมายของเราในจังหวัด “กรุงเทพมหานคร” มีถึง 2,600,000 คนครับ ซึ่งถือว่าเยอะมากครับ อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำครับ
เหมือนที่ผมบอกไปครับว่าถ้าเราเจาะจงกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ เราจะไปเจอคนที่ “ไม่ค่อยสนใจ” การออกกำลังกายสักเท่าไหร่ อาจจะแค่กดไลค์เฉยๆครับ เพราะฉะนั้นเราเลยต้องทำให้มันเล็กลงครับ
เราจะทำยังไงงั้นเหรอครับ? เราต้องเอาความสนใจมารวมกันครับ (interest intersection) ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆครับ
กลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ต้องชอบการยกน้ำหนัก
- ต้องชอบกินคลีนด้วย
- ต้องชอบเล่นคาดีโอ
เป็นต้นครับ ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณชอบแค่อันใดอันหนึ่ง เขาจะไม่เห็นโฆษณาของคุณครับ เขาต้องชอบ “ทั้ง 3 อย่าง” ครับ พอจะเข้าใจไหมครับ?
ตามผมมาเลยครับ ผมจะทำให้ดูแล้วจะอธิบายไปด้วยให้ละเอียดที่สุดทำที่จะทำได้นะครับ
ต่อจากข้างบนเลยนะครับ กดตรงคำว่า “narrow audience” เพื่อจะทำให้เป้าหมายของคุณแคบลงมาอีกครับ เพื่อจะได้รวม keyword ความสนใจได้ครับ
หลังจากที่ผมกดคำว่า “narrow audience” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของผมแคบลง คุณจะเห็นครับว่าตอนนี้จำนวนกลุ่มเป้าหมายของผมเหลืออยู่แค่ 1,500,000 ครับ ถือว่ากำลังดีครับ แต่ก็ยังกว้างไปอยู่ดี ผมอยากจะให้มันไม่เกิน 500,000 ครับ
ผมเลือกแบบนี้เพราะว่าผมต้องที่จะเจาะจงคนที่กำลังเรียนอยู่ครับ เพราะว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีเวลาเล่น Facebook เยอะครับ แล้วจะชอบเข้ายิมยกน้ำหนักด้วย
หนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเจาะจงคนที่กำลังเรียนอยู่ก็เพราะว่าผมไปศึกษาว่าคนที่กดไลค์โพสของคุณ A เขาเป็นคนประมาณไหน ส่วนใหญ่เป็นคนที่กำลังเรียนอยู่ทั้งนั้นเลยครับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเงินโฆษณาแบบเปล่าประโยชน์ ผมเลยเลือกเจาะจงแต่คนที่เรียนอยู่ครับ
ผมอยากจะให้กลุ่มเป้าหมายของผมแคบที่สุดเท่าที่จะทำได้และให้โฆษณาที่ผมยิงไปโดนคนที่สนใจการออกกำลังกายจริงๆครับ ผมเลยตัดสินใจ “ทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลง” อีกครับ
ครั้งนี้ผมคิดว่าใครๆก็ออกกำลังกาย “ส่วนใหญ่” เขาอยากจะโชว์เพศตรงข้ามครับ อยากสวย อยากหล่อใช่ไหมล่ะครับ? เพราะฉะนั้นผมเลยอยากจะเจาะจงคนพวกนี้ด้วยครับ
แต่ตอนนี้กลุ่มเป้าหมายของผมยังอยู่ในจำนวนที่ว่ายังมากไปอยู่ดีครับ ผมจะทำให้แคบลงมาอีกชั้นหนึ่งครับ เพื่อที่จะให้ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 500,000 ครับ
ผมก็เลยทำให้มันแคบลงมาอีกครับ ผมเจาะจงคนที่ “ชอบกินอาหารคลีน” หรือกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพครับ
เพราะว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่เขาจะจริงจังกับการออกำลังกายมากครับ
โอเคครับตอนนี้เราได้ targeting ของเราเรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากจะกลับมาใช้ targeting นี้อีกเมื่อไหร่ อย่าลืมกดบันทึก targeting นี้เอาไว้นะครับ
หลายๆทีผมลืมกด ผมนี้อยากจะบ้าตาย นั่งศึกษาอยู่นาน สุดท้ายต้องทำใหม่ 555+
วิธีเลือกพื้นที่วางโฆษณา (placements)
ตอนนี้เรามาดูกันครับว่าจะเลือกพื้นที่วางโฆษณาตรงไหนดี เพราะว่า Facebook มีให้เลือกหลายที่มากครับ
หลายๆคนก็ส่งอีเมลล์เข้ามาถามผมบ่อยมากครับ กังวลว่าจะเลือกที่วางโฆษณาไม่ถูกและกลัวจะเสียตังเปล่าๆ
ผมบอกตรงๆเลยนะครับว่าถึงแม้คุณเลือกที่วางโฆษณาไม่เป็นก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะว่า Facebook เขาจะทำ auto optimize ให้กับโฆษณาของคุณอยู่แล้วครับ ประมาณว่าถ้า Facebook เห็นว่า Instagram ได้ผลตอบรับเยอะที่สุด Facebook ก็จะพยายามยิงโฆษณาของคุณใน Instagram ให้เยอะขึ้นครับ
เรามาดูการจัดการที่วางโฆษณาในเคมเปนนี้กันครับ ว่าผมจัดยังไง
เรื่องของ platform ผมจะปล่อยให้ Facebook เลือกให้เองก่อนครับ แล้วเดี๋ยวผมจะมาปรับเปลี่ยนทีหลัง
จริงๆแล้วผมรู้อยู่แล้วครับว่า Instagram จะถูกที่สุดและจะทำให้ได้ Like เยอะที่สุดแต่อย่างที่ผมเคยย้ำครับว่าผมไม่อยากจะเดา ให้ผลลัพท์เป็นคนบอกดีกว่าครับ
สำหรับตอนนี้ผมจะเลือกแค่ “mobile only” หรือเอาแค่มือถือครับ เพราะว่าราคาจะถูกกว่า desktop หรือคอมเยอะมากครับ แล้วอีกอย่างคนที่เล่นมือถือจะกดไลค์ได้ดีครับผม
แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสำหรับการเลือก placements ครับผม จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากอยู่แล้วครับ ฮ่าๆ
หลังจากนั้นผมก็กดสร้างโฆษณานี้แล้วก็ให้ลูกทีมผมมาใส่กราฟฟิก เขียนหัวข้อ และจัดการเรื่องการ tracking อีกทีครับ
เพราะตรงนี้ผมจะไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ เหตุผลก็คือผมยุ่งมากครับ ไม่สามารถจะเอาเวลามาทำอะไรพวกนั้นได้ ผมทำอันที่จำเป็นจริงๆเท่านั้นครับ
การทำ optimization ให้กับโฆษณา
ในโฆษณานี้ผมลองไปดูผลลัพท์ในตัวละวัน ผมไม่เห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรครับ เพราะว่าทุกๆอย่างก็เป็นไปได้ดีอยู่แล้ว
ผมไม่อยากจะเปลี่ยนมากจนโฆษณาจะเสียครับ เพราะฉะนั้นผมคงจะต้องรอดูไปเรื่อยๆครับ ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆ ผมค่อยเปลี่ยนครับ
หลายๆคนที่ผมเห็นก็คือว่าไปเรียนรู้มาว่าทำ A/B testing ยังไงแล้วรู้สึกว่าอยากจะลองทำบ้างครับก็เลยเปลี่ยนแปลงโฆษณา (หรือ optimize) อยู่นั่นแหละ อยากจะให้มันดีขึ้นและดูความแตกต่าง
จริงๆแล้ว ถ้าโฆษณาของคุณยังรันได้ไม่นานหรือจ่ายยังไม่ถึง 1,000 บาท ยังไม่ควรจะไปแตะต้องมันนะครับ เพราะว่าถ้าคุณยังจ่ายไม่เยอะ คนเห็นไม่เยอะ มันก็มีสิทธิ์ที่เพราะกลุ่มลูกค้าตัวจริงของคุณยังไม่เห็นโฆษณาครับ
สำหรับโฆษณานี้ผมจะปล่อยให้มันรันไปเรื่อยๆครับ ไม่มีอะไรมาก
ผลลัพท์ที่ได้มาหลังจาก 9 วัน
หลังจากทำงานมาหนักในช่วงเวลา 9 วันที่ผ่านมา ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะเอาความสำเร็จมาให้คุณดูครับ (จะบอกว่าไม่สำเร็จก็ไม่ได้ เพราะพูดไปในหัวข้อแล้วว่าได้ ฿0.11 ต่อไลค์ 555+)
อย่างที่เห็นครับว่าภายใน 9 วัน (ลูกค้ากำหนดไว้ 14 วัน) ผมกับลูกทีมสามารถทำโฆษณานี้ให้ได้ไลค์ถึง 4,227 ไลค์ด้วยราคาแค่ไลค์ละ ฿0.11 ครับ
ลูกค้าของผมบอกว่าให้ผมใช้ตังเท่าไหร่ก็ได้ (เชื่อใจผมมาก ขอบคุณครับพี่!) แต่ผมใช้ตังไปแค่ ฿464.97 บาทครับ มีเงินให้พี่เขาไปเลี้ยงสาว เอ๊ยย เอางินไปใช้อะไรของพี่เขาอย่างอื่นครับ จะไปซื้ออุปกรณ์มาใส่ยิมอีกอะไรก็ว่าไปครับ ฮ่าๆ
จากเพจร้างๆของพี่เขา ตอนนี้เพจของพี่เขาเป็นแบบนี้แล้วครับ ผมกับลูกทีมพยายามช่วยพี่เขาดีไซน์ปกหรืออะไรใหม่อยู่ครับตอนนี้ เพราะปกเก่าแย่เหลือเกิน ถามๆดูพี่เขาบอกว่าทำเอง
ตอนนี้เพจพี่เขาเป็นแบบนี้แล้วครับ (ได้ไลค์มีลูกค้าแล้ว พี่เขาอารมย์ดีเป็นพิเศษครับ ฮ่าๆ)
สำหรับกรณีศึกษา (case study) นี้ทำให้ผมได้เรื่องรู้อะไรหลายๆอย่างมากเลยครับ ผมดีใจครับที่พี่เขาอนุญาติให้ผมเอามาเขียนเป็น case study ให้คนที่ทำโฆษณา Facebook หรือแม้แต่คนที่อยากจะทำโฆษณา Facebook ได้อ่านและได้กำไรใจครับ
สิ่งที่เราควรจะทำได้ดีกว่านี้
สำหรับตัวผม ผมเชื่อครับว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรดีแค่ไหน มันก็ยังมีอะไรที่สามารถพัฒนาขึ้นไปอีกได้ครับ เพราะฉะนั้นทุกๆครั้งหลังจากการทำเคมเปนโฆษณาให้กับลูกค้า ผมก็จะมานั่งกับลูกทีมเพื่อปรึกษากันว่า มีอะไรไหมที่เราควรที่จะแก้ไขได้อีกถ้าได้ทำโฆษณาแบบนี้อีก
สิ่งที่เราเรียนรู้ในโฆษณาครั้งนี้
- เปลี่ยนหน้าปกและรูปเพจ — ตอนแรกๆที่เราทำ เราใช้กราฟฟิกที่พี่เขาทำด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนตัวของผมแล้ว ผมคิดว่ามันทำให้ชื่อของยิมดูเป็นยิมราคาถูก แต่จริงๆแล้วยิมของพี่เขาเป็นยิมที่มีอุปกรณ์ดีมากเลยครับ ใหม่ทุกๆอย่าง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าใช้หน้าปกใหม่และรูปโปรไฟล์เพจใหม่ ผลอาจจะออกมาดีกว่านี้ก็ได้
- ช่วยพี่เขาทำ content ก่อน — หลายๆคนผมคิดว่าก่อนที่จะมากดไลค์ อาจจะเข้ามาดูในเพจก่อนครับว่าในเพจโพสอะไรไปบ้าง ผมคิดว่าถ้าในเพจมีแต่สาระที่น่าสนใจกับกลุ่มเป้าหมาย ผมคิดว่าเขาน่าที่จะอยากกดไลค์มากกว่านี้ครับ ใครจะไปรู้บางทีค่าไลค์อาจจะเหลือแค่ ฿0.09 ต่อไลค์ก็ได้ครับ ถ้าผมทำดีกว่านี้หน่อย
สุดท้ายแล้วผมเชื่อมั่นครับว่าถ้าผมมีเวลามากกว่านี้ ได้ทดลองอะไรมากกว่านี้ ผลลัพท์อาจจะออกมาดีกว่าที่ได้มาครับ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าผมและลูกทีมทำได้ดีที่สุดแล้วครับ
ตาคุณลองไปทำดูแล้วครับ!
หลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้ของผมแล้ว ผมหวังว่าคุณจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่และชัดเจนนะครับ
อย่างที่ผมบอกไปคือว่าผมไม่ใช่โค้ชหรือนักเขียน บางทีผมอาจจะเขียนผิดๆถูกๆบาง หรืออธิบายอะไรไม่ชัดเจนพอ ถามผมได้ในคอมเม้นเลยนะครับ ผมจะพยายามตอบทุกๆคำถามให้ดีที่สุดครับ
ผลลัพท์ดีๆที่ผมได้จากโฆษณานี้เป็นเทคนิคที่ผมให้รายละเอียดในบทความนี้ทั้งหมดครับ ถ้าคุณเอาไปทำตามผม ผมมั่นใจครับว่าคุณต้องได้ผลลัพท์ที่ดีขึ้นกว่าที่คุณเคยมีแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ ZoZav