ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด

ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด
ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด

ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด

เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าตั้งแต่อดีตสืบเนื่องจนปัจจุบัน มนุษย์เป็นผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ ทั้งเทคโนโลยีด้านการติดต่อสื่อสาร สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ชีวิตประจำวันของมนุษย์ และก่อให้เกิดการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าอันก่อให้เกิดเป็นตลาด ซึ่งเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าและแลกเปลี่ยน ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคจนกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์เสียก่อนว่ามนุษย์รักและต้องการความสะดวกสบาย มากที่สุด สิ่งไหนสามารถเติมเต็มในส่วนดังกล่าวได้ มนุษย์ก็จะยอมหาสิ่งเหล่านั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองอยู่เสมอ

เราจะเห็นได้จากการประดิษฐ์รถยนต์ เครื่องบิน และเรือเพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่ง โทรศัพท์เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มีความสำคัญมากขนาดไหน แต่จะทำอย่างไรหากเรามีสิ่งประดิษฐ์ของเราเองสักชิ้นหนึ่งและอยากนำสินค้านั้นเข้าสู่ตลาดเพื่อทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสู่ผู้บริโภค

Tamara Monosoff ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท mominventors ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการนำสินค้าใหม่เข้าตลาดไว้ในบทความของเธอว่า สิ่งประดิษฐ์ที่ดีควรเป็นสิ่งที่มาจากความคิดของเราเองจริงๆ เป็นสิ่งที่ยังไม่เคยประดิษฐ์คิดค้นมาก่อน เพราะความสำเร็จที่จะได้รับจากสิ่งประดิษฐ์จะมาจากคุณสมบัติและประโยชน์ที่ผู้บริโภคพึงได้รับจากสิ่งประดิษฐ์ ที่สำคัญเราควรระลึกไว้อยู่เสมอว่า “ผู้บริโภคไม่ได้จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งประดิษฐ์ แต่พวกเขาจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า” ฉะนั้นควรเปลี่ยนวิธีคิดจากตามหนังสือสินค้าใหม่ทั่วๆ ไป โดยก่อนที่จะไปถึงวิธีการ 6 ขั้นตอน มีสิ่งที่ควรจะทำการนึกถึงก่อนดังนี้

ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด
ไอเดียธุรกิจ 6 ขั้นตอน เพื่อนำสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด

ขั้นแรก ซื้อหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์

เราสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป และดูพิจารณาเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสร้างรายได้จากสิ่งประดิษฐ์ จากนั้นนำมาเทียบเคียงพิจารณา ปรับใช้ในส่วนต่างๆ ให้เข้ากับสิ่งประดิษฐ์ของเรา ว่ามีความแตกต่างกันตรงไหน มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร หาจุดขายที่เด่นที่สุดของสิ่งประดิษฐ์ของเราที่จะสามารถจูงใจให้ผู้บริโภคยอมเสียเงินเพื่อซื้อสิ่งประดิษฐ์ของเรา และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวผู้บริโภคเองได้

ขั้นที่สอง การดำเนินการวิจัยตลาด

ระบุสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ทั้งสินค้าออนไลน์และสินค้าที่มีอยู่ในร้านค้าทั่วไป ว่ามีประโยชน์อย่างไรสามารถช่วยผู้บริโภคในเรื่องใดบ้าง เมื่อเทียบกันแล้วมีจุดเด่นกว่าสิ่งประดิษฐ์ของเราหรือไม่ หากมีก็ต้องระบุให้ได้ว่าเด่นกว่าในเรื่องอะไร และพิจารณาดูจุดด้อยที่สินค้าในตลาดมีนำมาเทียบกับสิ่งประดิษฐ์ของเราว่าสามารถแก้ไขและทดแทนในจุดนั้นได้หรือไม่ โดยเริ่มดูสินค้าที่มีลักษณะคล้ายกับไอเดียของเราก่อน “ต้องมั่นใจว่าสินค้าเราดีพอจนผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาใช้”

ขั้นที่สาม ค้นหาการจดสิทธิบัตร

หาว่ามีสิ่งประดิษฐ์ใดในประเทศและทั่วโลก ว่าที่มีลักษณะคล้ายกับสินค้าของเราทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึงวิธีการทำงานคล้ายกับของคุณหรือไม่ แล้วนำมาพิจารณาข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่างๆ เพื่อเก็บไปพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ของเราเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อแสดงให้เห็นถึงประโยชน์และความแตกต่างที่สิ่งประดิษฐ์ของเราที่มีเหนือกว่า

ขั้นที่สี่ ทำการพัฒนาและสร้างต้นแบบสิ่งประดิษฐ์ของคุณ

ใช้แหล่งข้อมูลที่ได้เก็บสะสมรวบรวมและวิจัยก่อนหน้านี้มาประกอบ เมื่อสร้างตัวต้นแบบเสร็จแล้วจึงเริ่มพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ของเราจากตัวต้นแบบที่สร้างเสร็จ โดยนำมาทดสอบหาข้อบกพร่องต่างๆ และดำเนินการแก้ไขจนมีความพร้อมเป็นผลิตภัณฑ์ระดับมืออาชีพที่จะวางจำหน่ายได้

ขั้นที่ห้า ติดต่อพูดคุยสื่อสารกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รู้จักโดยทั่วไป หรือจากการแลกเปลี่ยนพูดคุยในเรื่องข้อมูลความรู้ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต ว่าคนอื่นมีความคิดเห็นอย่างไรกับสิ่งประดิษฐ์ของเรา มีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง เก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวมาใช้แก้ไขข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ของเรา “นำผลิตภัณฑ์ไปให้คนติชม เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น”

ขั้นที่หก ริเริ่มลงมือร่างแผนธุรกิจแบบคร่าวๆ

ร่างแผนธุรกิจแบบคร่าวๆ ว่าผลิตภัณฑ์ของเราจะมีทิศทางในการจัดจำหน่ายอย่างไร มีแหล่งเงินทุนจากไหน จำนวนเงินเท่าไร การตั้งราคาเท่าไรจึงเหมาะสม วางกลยุทธ์ทางการตลาดไปในทิศทางใด ทำโฆษณาอย่างไร ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานง่ายๆ ก่อนที่จำการลงรายละเอียดในแต่ละหัวข้อให้มากขึ้นในภายหลัง

การนำสิ่งประดิษฐ์ส่วนตัวมาพัฒนาและต่อยอดเป็นสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายไปสู่ผู้บริโภคนั้นไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ขอเพียงแค่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสิ่งประดิษฐ์มีประโยชน์อย่างแท้จริง ความฝันในการมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือต้องนำสิ่งประดิษฐ์มาทดลองใช้ด้วยตนเองก่อน เพราะตัวเราเองจะเป็นผู้ให้คำตอบให้ได้ดีที่สุดว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นจะได้รับความนิยมหรือไม่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : incquity.com

แสดงความคิดเห็น


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *