ทำไมต้องแยกให้ออกระหว่าง “สินค้ากระแส” กับ “ความต้องการระยะยาว”?
ในโลกธุรกิจ มีสินค้ามากมายที่ดูเหมือนจะขายดีเพียงชั่วคราว แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว เช่น Fidget Spinner, บัตร NFT, หรือเสื้อผ้าตามซีรีส์ดัง ซึ่งต่างจากสินค้าที่อยู่คู่ตลาดได้นาน เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ, เทคโนโลยี AI, หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
หากคุณกำลังคิดจะลงทุนทำธุรกิจหรือออกสินค้าใหม่ การรู้ว่าสินค้าของคุณเป็น “กระแสชั่วคราว” หรือ “ความต้องการที่ยั่งยืน” จะช่วยให้คุณ ไม่ลงทุนผิดพลาด และสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
7 วิธีตรวจสอบว่าสินค้าเป็นแค่กระแสหรือไม่
1. ตรวจสอบแนวโน้มความสนใจผ่าน Google Trends
วิธีใช้:
- ค้นหาชื่อสินค้าหรือหมวดหมู่สินค้าของคุณใน Google Trends
- ดูแนวโน้มความสนใจในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา
วิเคราะห์ผล
- ถ้ายอดค้นหาพุ่งขึ้นเร็วแล้วตกลงเร็ว → เป็นแค่กระแส
- ถ้ายอดค้นหาทรงตัวหรือค่อยๆ เติบโต → เป็นความต้องการระยะยาว
ตัวอย่าง: “Smartphone” → แนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด = ความต้องการระยะยาว
“Fidget Spinner” → พุ่งแรงปี 2017 แล้วหายไป = กระแส
2. สังเกตพฤติกรรมการซื้อซ้ำของลูกค้า (Repeat Purchase)
วิธีใช้:
- ถามลูกค้า: “คุณจะกลับมาซื้อสินค้านี้อีกหรือไม่?”
- ดูข้อมูลการซื้อซ้ำ (ถ้ามี) จากระบบ POS หรือ Marketplace
วิเคราะห์ผล
- ถ้าลูกค้าไม่ซื้อซ้ำ → เป็นแค่กระแส
- ถ้าลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ → เป็นความต้องการระยะยาว
ตัวอย่าง: “กาแฟแคปซูล” → ลูกค้าต้องซื้อต่อเนื่อง = ความต้องการระยะยาว
“เสื้อยืดลายหนังดัง” → ลูกค้าซื้อแล้วจบ = กระแส
3. เช็คข้อมูลจากรายงานอุตสาหกรรม
วิธีใช้:
- ค้นหางานวิจัยหรือรายงานจาก Statista, IBISWorld, Nielsen, McKinsey
- ดูแนวโน้มการเติบโตของสินค้านี้ในระดับโลก
วิเคราะห์ผล
- ถ้ามีรายงานว่า ตลาดนี้จะเติบโตต่อเนื่อง → เป็นความต้องการระยะยาว
- ถ้าตลาดเริ่มหดตัวหรือมีแค่การเติบโตชั่วคราว → เป็นกระแส
ตัวอย่าง: “อาหารเพื่อสุขภาพ” → แนวโน้มเติบโตทุกปี = ความต้องการระยะยาว
“Metaverse Fashion” → มีการเติบโตแค่ช่วงหนึ่งแล้วซบเซา = กระแส
4. วิเคราะห์ความยืดหยุ่นต่อเศรษฐกิจ
วิธีใช้:
- ลองถามตัวเองว่า “ถ้าเศรษฐกิจแย่ลง คนจะยังซื้อสินค้านี้อยู่หรือไม่?”
- ดูว่าสินค้านี้ขายดีในช่วงวิกฤติหรือไม่
วิเคราะห์ผล
- ถ้าสินค้าขายดีแม้เศรษฐกิจตกต่ำ → เป็นความต้องการระยะยาว
- ถ้าคนเลิกซื้อทันทีเมื่อเงินน้อย → เป็นแค่กระแส
ตัวอย่าง: “ข้าวสาร, น้ำดื่ม, อินเทอร์เน็ต” → คนยังต้องใช้แม้เศรษฐกิจแย่ = ความต้องการระยะยาว
“เครื่องประดับแฟชั่น” → คนซื้อน้อยลงเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ = กระแส
5. ดูการลงทุนของแบรนด์ใหญ่
วิธีใช้:
- ดูว่าแบรนด์ระดับโลก เช่น IKEA, Apple, Unilever, Nike กำลังลงทุนในสินค้านี้หรือไม่
วิเคราะห์ผล
- ถ้าแบรนด์ใหญ่เข้ามาเล่น = มีแนวโน้มเป็นความต้องการระยะยาว
- ถ้าแบรนด์ใหญ่ไม่สนใจ = อาจเป็นแค่กระแส
ตัวอย่าง: “รถยนต์ไฟฟ้า” → Tesla, BMW, Toyota ลงทุนหนัก = ความต้องการระยะยาว
“Fidget Spinner” → ไม่มีแบรนด์ใหญ่ผลิตจริงจัง = กระแส
6. ทดสอบความสามารถในการพัฒนา (Innovation Test)
วิธีใช้:
- สังเกตว่าสินค้านี้สามารถพัฒนาเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่
- ถ้าสินค้าถูกต่อยอดหรือพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ → เป็นความต้องการระยะยาว
วิเคราะห์ผล
- ถ้าสินค้าค้างอยู่ในรูปแบบเดิมๆ → เป็นแค่กระแส
- ถ้าสามารถพัฒนาไปเป็นสินค้าใหม่ๆ ได้ → เป็นความต้องการระยะยาว
ตัวอย่าง: “AI Technology” → มีการพัฒนาตลอด = ความต้องการระยะยาว
“Selfie Stick” → แทบไม่มีนวัตกรรมใหม่ = กระแส
7. ทดลองขายจริงเพื่อดูแนวโน้ม
วิธีใช้:
- ลองขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง (ออนไลน์/ออฟไลน์)
- สังเกตว่ายอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง
วิเคราะห์ผล
- ถ้าขายดีเฉพาะช่วงโปรโมชั่น → เป็นแค่กระแส
- ถ้ายอดขายโตขึ้นแม้ไม่มีโปรโมชัน → เป็นความต้องการระยะยาว
ตัวอย่าง: “สินค้าอุปโภคบริโภค” → ขายดีต่อเนื่องแม้ไม่มีโปรโมชัน = ความต้องการระยะยาว
“ของเล่นตามกระแส TikTok” → ขายดีช่วงแรกแล้วเงียบ = กระแส