ในยุคปัจจุบัน การบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหาร การจัดโครงสร้างองค์กรแบบ Business Unit จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม เพราะช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัว โปร่งใส และมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
1. แบ่งสายงานตามกลุ่มลูกค้าหรือผลิตภัณฑ์
การจัดแบ่ง Business Unit ตามกลุ่มลูกค้าหรือประเภทผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้แต่ละหน่วยงานมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างลึกซึ้ง สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ได้ตรงจุด
2. มอบอำนาจการตัดสินใจให้หน่วยงานย่อย
การกระจายอำนาจการตัดสินใจและงบประมาณลงไปยัง Business Unit ต่างๆ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กร ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป
3. วัดผลงานอย่างโปร่งใส
การแบ่งเป็น Business Unit ยังช่วยให้สามารถวัดผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยได้อย่างชัดเจน ทั้งรายได้ ต้นทุน และกำไร ทำให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ หน่วยงานที่มีผลงานดีก็จะได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนต่อไป ขณะที่หน่วยงานที่มีปัญหาก็จะถูกปรับปรุงแก้ไข
4. สร้างวัฒนธรรมแบบ Entrepreneurial
การบริหารแบบ Business Unit จะช่วยสร้างให้พนักงานมีความคิดแบบเจ้าของกิจการมากขึ้น กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และพร้อมรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ เพราะผลงานของ Unit จะส่งผลโดยตรงกับผลตอบแทนที่พนักงานจะได้รับ จึงเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมแบบ Entrepreneurial ในองค์กรได้เป็นอย่างดี
5. ส่งเสริมการทำงานข้ามสายงาน
แม้จะแบ่งเป็น Business Unit แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยงานต่างๆ ยังต้องประสานงานและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ไม่แยกขาดจากกัน การจัดตั้งคณะทำงานข้ามสายงาน (Cross-Functional Team) จึงมีความสำคัญ เพื่อให้เกิดการบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน นำไปสู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดโครงสร้างองค์กรแบบ Business Unit จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มความคล่องตัว และมุ่งเน้นตอบสนองลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรนั้นต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับบริบทขององค์กรแต่ละแห่ง และต้องมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับพนักงานอย่างทั่วถึง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
ข้อดีของการบริหารแบบ Business Unit ได้แก่
1. เพิ่มความคล่องตัวในการตัดสินใจและตอบสนองความต้องการลูกค้า
2. มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจนขึ้น เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดีขึ้น
3. โปร่งใสในการวัดผลการดำเนินงาน สามารถประเมินผลงานแต่ละหน่วยได้อย่างชัดเจน
4. สร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบเจ้าของกิจการ กระตุ้นให้พนักงานกล้าคิด กล้าตัดสินใจ
5. ส่งเสริมการทำงานข้ามสายงาน เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานมากขึ้น
ข้อเสียของการบริหารแบบ Business Unit ได้แก่
1. อาจเกิดการแข่งขันและความขัดแย้งระหว่าง Unit ต่างๆ หากขาดการประสานงานที่ดี
2. มีความเสี่ยงที่แต่ละ Unit จะมุ่งเน้นแต่ผลงานของตัวเอง ขาดการคำนึงถึงภาพรวมขององค์กร
3. การกระจายอำนาจมากเกินไป อาจทำให้ฝ่ายบริหารสูงสุดไม่สามารถควบคุมทิศทางองค์กรได้
4. ต้องใช้บุคลากรที่มีความสามารถสูงในการบริหาร Unit ซึ่งอาจหาได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง
5. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ อาจสร้างความสับสนให้กับพนักงานและลูกค้าในระยะแรก
ตัวอย่างองค์กรต่างๆ มักจัดตั้ง Business Unit ขึ้นตามกลุ่มลูกค้า ประเภทผลิตภัณฑ์ หรือตามภูมิศาสตร์ ตัวอย่างที่พบได้บ่อย ได้แก่
1. Consumer Banking และ Corporate Banking – สถาบันการเงินมักแยกหน่วยงานดูแลลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กรออกจากกัน เพื่อให้บริการที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม
2. FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) – แบ่งตามประเภทสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียอดขายสูง เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
3. B2B (Business-to-Business) และ B2C (Business-to-Consumer) – แบ่งตามกลุ่มลูกค้าระหว่างองค์กรที่ขายสินค้าและบริการให้ธุรกิจอื่น และธุรกิจที่ขายตรงให้ผู้บริโภค
4. Online และ Offline – สำหรับธุรกิจค้าปลีก มักมีการแยกหน่วยงานที่ดูแลช่องทางออนไลน์กับช่องทางร้านค้าแบบดั้งเดิมออกจากกัน
5. Mobile และ Fixed Broadband – ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแบ่งหน่วยงานตามประเภทบริการที่ต่างกัน ระหว่างอินเทอร์เน็ตมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน
6. Domestic และ International – ธุรกิจที่มีการดำเนินงานทั้งในและต่างประเทศ อาจแบ่ง Unit ตามภูมิภาค เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาพตลาดในแต่ละประเทศได้ดีขึ้น
7. Front Office และ Back Office – แบ่กหน่วยงานดูแลลูกค้าที่อยู่ด้านหน้า กับหน่วยงานสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้แต่ละส่วนมุ่งเน้นภาระกิจหลักของตนเองได้เต็มที่
8. R&D, Manufacturing, Sales & Marketing – บางองค์กรแบ่ง Unit ตามลักษณะงานหรือฟังก์ชันสำคัญ เช่น งานวิจัยและพัฒนา งานผลิต งานขายและการตลาด โดยให้แต่ละส่วนเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
การจัดตั้ง Business Unit ในลักษณะต่าง ๆ นี้ ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างเฉพาะเจาะจงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าและตลาดในแต่ละส่วนได้ดียิ่งขึ้น
โดยสรุป การบริหารแบบ Business Unit มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ องค์กรต้องวิเคราะห์ให้ดีว่ารูปแบบนี้เหมาะสมกับบริบทของตนเองหรือไม่ และจะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด การสื่อสารและสร้างความเข้าใจอย่างทั่วถึงกับพนักงานทุกระดับจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิผล