สินค้าเป็นแค่กระแสหรือความต้องการระยะยาว? วิธีตรวจสอบก่อนลงทุน!

📌 ทำไมต้องแยกให้ออกระหว่าง “สินค้ากระแส” กับ “ความต้องการระยะยาว”?

ในโลกธุรกิจ มีสินค้ามากมายที่ดูเหมือนจะขายดีเพียงชั่วคราว แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว เช่น Fidget Spinner, บัตร NFT, หรือเสื้อผ้าตามซีรีส์ดัง ซึ่งต่างจากสินค้าที่อยู่คู่ตลาดได้นาน เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ, เทคโนโลยี AI, หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า

หากคุณกำลังคิดจะลงทุนทำธุรกิจหรือออกสินค้าใหม่ การรู้ว่าสินค้าของคุณเป็น “กระแสชั่วคราว” หรือ “ความต้องการที่ยั่งยืน” จะช่วยให้คุณ ไม่ลงทุนผิดพลาด และสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น 💡


✅ 7 วิธีตรวจสอบว่าสินค้าเป็นแค่กระแสหรือไม่

🔎 1. ตรวจสอบแนวโน้มความสนใจผ่าน Google Trends

✅ วิธีใช้:

  • ค้นหาชื่อสินค้าหรือหมวดหมู่สินค้าของคุณใน Google Trends
  • ดูแนวโน้มความสนใจในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้ายอดค้นหาพุ่งขึ้นเร็วแล้วตกลงเร็ว → เป็นแค่กระแส
  • ถ้ายอดค้นหาทรงตัวหรือค่อยๆ เติบโต → เป็นความต้องการระยะยาว

ตัวอย่าง:
✅ “Smartphone” → แนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอด = ความต้องการระยะยาว
❌ “Fidget Spinner” → พุ่งแรงปี 2017 แล้วหายไป = กระแส


📈 2. สังเกตพฤติกรรมการซื้อซ้ำของลูกค้า (Repeat Purchase)

✅ วิธีใช้:

  • ถามลูกค้า: “คุณจะกลับมาซื้อสินค้านี้อีกหรือไม่?”
  • ดูข้อมูลการซื้อซ้ำ (ถ้ามี) จากระบบ POS หรือ Marketplace

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้าลูกค้าไม่ซื้อซ้ำ → เป็นแค่กระแส
  • ถ้าลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ → เป็นความต้องการระยะยาว

ตัวอย่าง:
✅ “กาแฟแคปซูล” → ลูกค้าต้องซื้อต่อเนื่อง = ความต้องการระยะยาว
❌ “เสื้อยืดลายหนังดัง” → ลูกค้าซื้อแล้วจบ = กระแส


📊 3. เช็คข้อมูลจากรายงานอุตสาหกรรม

✅ วิธีใช้:

  • ค้นหางานวิจัยหรือรายงานจาก Statista, IBISWorld, Nielsen, McKinsey
  • ดูแนวโน้มการเติบโตของสินค้านี้ในระดับโลก

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้ามีรายงานว่า ตลาดนี้จะเติบโตต่อเนื่อง → เป็นความต้องการระยะยาว
  • ถ้าตลาดเริ่มหดตัวหรือมีแค่การเติบโตชั่วคราว → เป็นกระแส

ตัวอย่าง:
✅ “อาหารเพื่อสุขภาพ” → แนวโน้มเติบโตทุกปี = ความต้องการระยะยาว
❌ “Metaverse Fashion” → มีการเติบโตแค่ช่วงหนึ่งแล้วซบเซา = กระแส


🏦 4. วิเคราะห์ความยืดหยุ่นต่อเศรษฐกิจ

✅ วิธีใช้:

  • ลองถามตัวเองว่า “ถ้าเศรษฐกิจแย่ลง คนจะยังซื้อสินค้านี้อยู่หรือไม่?”
  • ดูว่าสินค้านี้ขายดีในช่วงวิกฤติหรือไม่

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้าสินค้าขายดีแม้เศรษฐกิจตกต่ำ → เป็นความต้องการระยะยาว
  • ถ้าคนเลิกซื้อทันทีเมื่อเงินน้อย → เป็นแค่กระแส

ตัวอย่าง:
✅ “ข้าวสาร, น้ำดื่ม, อินเทอร์เน็ต” → คนยังต้องใช้แม้เศรษฐกิจแย่ = ความต้องการระยะยาว
❌ “เครื่องประดับแฟชั่น” → คนซื้อน้อยลงเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ = กระแส


📢 5. ดูการลงทุนของแบรนด์ใหญ่

✅ วิธีใช้:

  • ดูว่าแบรนด์ระดับโลก เช่น IKEA, Apple, Unilever, Nike กำลังลงทุนในสินค้านี้หรือไม่

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้าแบรนด์ใหญ่เข้ามาเล่น = มีแนวโน้มเป็นความต้องการระยะยาว
  • ถ้าแบรนด์ใหญ่ไม่สนใจ = อาจเป็นแค่กระแส

ตัวอย่าง:
✅ “รถยนต์ไฟฟ้า” → Tesla, BMW, Toyota ลงทุนหนัก = ความต้องการระยะยาว
❌ “Fidget Spinner” → ไม่มีแบรนด์ใหญ่ผลิตจริงจัง = กระแส


🔄 6. ทดสอบความสามารถในการพัฒนา (Innovation Test)

✅ วิธีใช้:

  • สังเกตว่าสินค้านี้สามารถพัฒนาเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่
  • ถ้าสินค้าถูกต่อยอดหรือพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ → เป็นความต้องการระยะยาว

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้าสินค้าค้างอยู่ในรูปแบบเดิมๆ → เป็นแค่กระแส
  • ถ้าสามารถพัฒนาไปเป็นสินค้าใหม่ๆ ได้ → เป็นความต้องการระยะยาว

ตัวอย่าง:
✅ “AI Technology” → มีการพัฒนาตลอด = ความต้องการระยะยาว
❌ “Selfie Stick” → แทบไม่มีนวัตกรรมใหม่ = กระแส


🛍 7. ทดลองขายจริงเพื่อดูแนวโน้ม

✅ วิธีใช้:

  • ลองขายสินค้าผ่านหลายช่องทาง (ออนไลน์/ออฟไลน์)
  • สังเกตว่ายอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง

📌 วิเคราะห์ผล

  • ถ้าขายดีเฉพาะช่วงโปรโมชั่น → เป็นแค่กระแส
  • ถ้ายอดขายโตขึ้นแม้ไม่มีโปรโมชัน → เป็นความต้องการระยะยาว

ตัวอย่าง:
✅ “สินค้าอุปโภคบริโภค” → ขายดีต่อเนื่องแม้ไม่มีโปรโมชัน = ความต้องการระยะยาว
❌ “ของเล่นตามกระแส TikTok” → ขายดีช่วงแรกแล้วเงียบ = กระแส

แสดงความคิดเห็น